ไทยประกันชีวิต

การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลก่อนกฎหมายมีผลบังคับ

  • คำแถลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลก่อนกฎหมายมีผลบังคับ

    การแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล


    บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ขอเรียนแจ้งให้ท่านทราบว่า บริษัทให้ความสำคัญกับสิทธิความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (“พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) ในการนี้ บริษัทได้มีการจัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้เป็นไปตามพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป ท่านสามารถศึกษารายละเอียดวิธีการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตลอดจนระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล และสิทธิของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้จากนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ (https://www.thailife.com/PrivacyPolicy)


    ในกรณีที่บริษัทได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ของท่าน เป็นต้น ไว้ในความครอบครองของบริษัท ก่อนวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 บริษัทสามารถเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปได้ตามวัตถุประสงค์เดิมของการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลดังกล่าวตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หากท่านไม่ประสงค์ที่จะให้บริษัทเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไป ท่านสามารถขอยกเลิกความยินยอมในการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ที่สำนักงานใหญ่หรือสำนักงานสาขาของบริษัททุกแห่ง


    ทั้งนี้ เมื่อบริษัทได้รับคำขอจากท่าน บริษัทจะพิจารณาและดำเนินการตามที่ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด


    อย่างไรก็ดี บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การถอนความยินยอมของท่านอาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถให้ข้อมูลหรือให้บริการ หรือดำเนินการที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์แก่ท่าน หรือไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงอื่นใดที่บริษัทเข้าทำกับท่านตามวัตถุประสงค์เดิมของการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลดังกล่าวต่อไปได้ หากท่านมีข้อสงสัยในเรื่องผลกระทบจากการถอนความยินยอมดังกล่าว ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ (dpo@thailife.com)


    ทางบริษัทขอขอบพระคุณท่านที่ได้ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนบริการของทางบริษัทตลอดมา




    ขอแสดงความนับถือ

    บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)


นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ในนามของเว็บไซต์ www.thailife.com บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ขอขอบพระคุณท่านผู้ใช้บริการทุกท่าน ที่เข้ามาเยี่ยมชมและใช้บริการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านเว็บไซต์ของบริษัท เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้บริการเว็บไซต์ของบริษัท บริษัทขอเรียนว่าเรามีนโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ ทุกท่านโดยสังเขป ดังนี้


  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับลูกค้าและบุคคลทั่วไป

    นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับลูกค้าและบุคคลทั่วไป


    บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นอย่างมาก บริษัทในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจึงได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (“นโยบาย”) ฉบับนี้ขึ้นเพื่อชี้แจงรายละเอียดและวิธีการจัดการและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากท่านหรือจากแหล่งข้อมูลอื่น รวมถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย และ/หรือ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตลอดจนระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวและสิทธิของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

     

    บริษัทยึดมั่นในค่านิยมที่ว่า ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นที่ท่านมีให้แก่บริษัทเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งสำหรับบริษัท ดังนั้น บริษัทจึงมุ่งมั่นที่จะจัดการให้มีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

     

    1. นิยาม

    “บริษัท” หมายถึง บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
    "ลูกค้า" หมายถึง บุคคลที่พนักงานหรือลูกจ้างของบริษัท ตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต หรือธนาคารเชิญชวน ชักชวน หรือชี้ช่องให้ทำประกันภัยกับบริษัท และให้รวมถึงผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ หรือผู้มีสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือผู้มุ่งหวัง แล้วแต่กรณี
    "ผู้มุ่งหวัง" หมายถึง บุคคลที่บริษัท ตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต หรือธนาคารมุ่งหวังที่จะเชิญชวน ชักชวน หรือชี้ช่องให้ทำประกันภัยกับบริษัท ทั้งนี้หมายความรวมถึงบุคคลที่ให้ความสนใจผลิตภัณฑ์หรือประสงค์จะทำประกันชีวิตกับบริษัท ซึ่งได้ให้ข้อมูลเพื่อให้บริษัทหรือบุคลากรของบริษัทติดต่อกลับเพื่อนำเสนอรายละเอียดผลิตภัณฑ์ หรือบุคคลที่มีบุคคลอื่นแนะนำหรือให้ข้อมูลแก่บริษัท
    “บุคคลทั่วไป” หมายถึง บุคคลอื่นนอกเหนือจากลูกค้า ผู้มุ่งหวัง ตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต บุคลากรและคู่ค้าของบริษัท
    “บุคลากรและคู่ค้าของ
    คู่บริษัท”
    หมายถึง บุคลากร เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า พนักงานขาย ตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต คนกลางประกันภัย ผู้รับจ้าง คู่ค้า ผู้ให้บริการ ผู้รับมอบอำนาจ ผู้กระทำการแทน หรือบุคคลอื่นหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับบริษัท
    “กฎหมายว่าด้วยการ
    คุ้มครองข้อมูลส่วน บุคคล”
    หมายถึง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ในอนาคต
    “ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    "การประมวลผลข้อมูล
    ส่วนบุคคล”
    หมายถึง การดำเนินการใดๆ กับข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าด้วยวิธีการอัตโนมัติหรือไม่ก็ตาม เช่น การเก็บรวบรวม การบันทึก การจัดระบบ การจัดเก็บ การปรับเปลี่ยนหรือการดัดแปลง การเรียกคืน การปรึกษา การใช้ การเปิดเผย (โดยการส่ง โอน การเผยแพร่หรือการทำให้สามารถเข้าถึงหรือพร้อมใช้งานโดยวิธีใดๆ) การจัดเรียง การนำมารวมกัน การห้ามเข้าถึงหรือจำกัด การลบหรือการทำลาย เป็นต้น


    2. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม

    2.1 ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทเก็บรวบรวมหรือจะเก็บรวบรวม ภายใต้นโยบาย นี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านโดยอัตโนมัติ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากแหล่งอื่น ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลดังต่อไปนี้

    (1) ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อนามสกุลปัจจุบัน ชื่อนามสกุลเดิม วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง กรุ๊ปเลือด โรคประจำตัว ความพิการ รูปถ่าย หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง (Passport) ลายมือชื่อ สัญชาติ ศาสนา สถานภาพสมรส และข้อมูลบุคคลในครอบครัว

    (2) ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ที่อยู่เพื่อจัดส่งไปรษณีย์ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ข้อมูลการติดต่อทางโซเชียลมีเดีย และรายละเอียดบุคคลที่ติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน

    (3) ข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน เช่น รายได้ แหล่งที่มาของรายได้ หมายเลขบัญชีธนาคาร รายงานการเคลื่อนไหวทางบัญชี หมายเลขบัตรเครดิต/เดบิต ข้อมูลการใช้บัตรเครดิต/เดบิต ประวัติเกี่ยวกับบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล รายละเอียดเกี่ยวกับสินเชื่อ ข้อมูลเกี่ยวกับภาษีอากรต่างๆ และรายละเอียดหรือข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงินอื่นๆ

    (4) ข้อมูลด้านสุขภาพและข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ประวัติการรักษาพยาบาล ประวัติการขอคำปรึกษา บันทึกการตรวจทางการแพทย์ บันทึกการสืบสวนทางการแพทย์ บันทึกของพยาบาล ประวัติการสั่งจ่ายยา บันทึกการรักษา รายละเอียดการบริการทางการแพทย์ที่ได้รับ รายงานทางการแพทย์ และรายละเอียดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ รวมไปถึงคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ และข้อมูลหรือสิ่งใดๆ ที่แสดงออกมาในรูปเอกสาร แฟ้ม รายงาน หนังสือ แผนผัง แผนที่ ภาพวาด ภาพถ่าย ฟิล์ม การบันทึกภาพหรือเสียง การบันทึกโดยเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือสิ่งอื่นใดที่ทำให้สิ่งที่บันทึกไว้แสดงถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพของบุคคลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ ตามที่หน่วยงานที่มีอำนาจเกี่ยวกับการคุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลประกาศกำหนด

    (5) ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง เช่น วันที่เดินทาง สถานที่เดินทางไปหรือกลับ หรือพิกัดการเดินทาง และ/หรือรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทาง

    (6) ข้อมูลด้านเทคนิค เช่น ข้อมูลการเข้าใช้งานเว็บไซต์และระบบต่างๆ ของบริษัท ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (Log) ข้อมูลการติดต่อและสื่อสารระหว่างท่านและผู้ใช้งานรายอื่น ข้อมูลจากการบันทึกการใช้งาน เช่น ตัวระบุอุปกรณ์ หมายเลข IP ของคอมพิวเตอร์ รหัสประจำตัวอุปกรณ์ ประเภทอุปกรณ์ ข้อมูลเครือข่ายมือถือ ข้อมูลการเชื่อมต่อ ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ประเภทของเบราว์เซอร์ (Browser) ข้อมูลบันทึกการเข้าออกระบบ ข้อมูลแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่ผู้ใช้งานเข้าถึงก่อนและหลัง (Referring Website) ข้อมูลบันทึกประวัติการใช้ระบบ ข้อมูลบันทึกการเข้าสู่ระบบ (Login Log) ข้อมูลรายการการทำธุรกรรม (Transaction Log) พฤติกรรมการใช้งาน (Customer Behavior) สถิติการเข้าระบบ เวลาที่เยี่ยมชมระบบ (Access Time) ข้อมูลที่ท่านค้นหา การใช้ฟังก์ชันต่างๆ ในระบบ และข้อมูลที่บริษัทได้เก็บรวบรวมผ่านคุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายกัน

    (7) ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ เช่น ประวัติอาชญากรรม บันทึกเกี่ยวกับการดำเนินคดีไม่ว่าทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครอง หรือการดำเนินคดีอื่นๆ รวมไปถึงรายงานของตำรวจ และคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่หน่วยงานกำกับรวบรวมหรือจัดทำขึ้น

    (8) ข้อมูลรายละเอียดผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการต่างๆ ที่ท่านเคยซื้อหรือรับบริการจากบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ เช่น หมายเลขกรมธรรม์ จำนวนเงินเอาประกัน การเปลี่ยนแปลงหรือการทำธุรกรรมเกี่ยวกับกรมธรรม์ วิธีการจ่ายเบี้ยประกัน ประวัติการชำระเบี้ยประกัน หรือประวัติเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน ผู้รับประโยชน์ การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน รวมถึงการใช้สิทธิต่างๆ ภายใต้กรมธรรม์ หรือผลิตภัณฑ์ หรือบริการอื่นๆ ของบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ

    (9) ข้อมูลเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับกับบริษัท ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะพระราชบัญญัติประกันชีวิต พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง กฎหมาย Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) ซึ่งการดำเนินการตามกฎหมาย เช่น การจัดทำและรายงานหรือข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงการจัดเก็บและการนำส่งให้หน่วยงานกำกับหรือเจ้าพนักงานที่มีอำนาจตามกฎหมาย การตรวจสอบและติดตามการทำธุรกรรมของบุคคล หรือการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริษัทปฏิบัติได้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

    (10) ข้อมูลการทำธุรกรรมหรือขอใช้บริการระหว่างท่านและบริษัท อันเนื่องมาจากการทำข้อตกลงหรือสัญญา หรือการยอมรับเงื่อนไขการใช้บริการระหว่างท่านกับบริษัท

    (11) ข้อมูลอื่นๆ เช่น บันทึกภาพและเสียงผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ บันทึกเสียงการสนทนา ข้อมูลแสดงแนวโน้มการซื้อสินค้าหรือบริการ เป็นต้น

    2.2 ในการทำธุรกรรมระหว่างท่านกับบริษัทบางประเภท เช่น การทำประกันชีวิตกับบริษัท บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive Personal Data) ของท่าน เช่น ข้อมูลด้านสุขภาพซึ่งอาจรวมถึงพฤติกรรมการสูบบุหรี่ พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ ความพิการ โรคประจำตัว ข้อมูลชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวดังกล่าวจำเป็นต่อการพิจารณารับประกันภัย ตลอดจนการให้บริการและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือปฏิบัติตามเงื่อนไขกรมธรรม์ หากท่านไม่ยินยอมให้บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวดังกล่าว บริษัทจะไม่สามารถพิจารณารับประกันหรือดำเนินการใดๆ ให้แก่ท่านได้ และในกรณีที่ท่านใช้สิทธิเพิกถอนความยินยอม หรือคัดค้านการเก็บ ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลหรือขอให้ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวดังกล่าว บริษัทจะไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขกรมธรรม์ หรือให้บริการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรมธรรม์แก่ท่านได้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านต้องเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิต


    2.3 ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2565 ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอม (โปรดดูรายละเอียดในข้อ 9) หากท่านประสงค์ที่จะขอใช้สิทธิของท่าน ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 12 (ช่องทางการใช้สิทธิและช่องทางการติดต่อบริษัท) ทั้งนี้ การใช้และ/หรือเปิดเผยและการดำเนินการอื่นใดเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในนโยบาย ฉบับนี้


    3. วิธีที่บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

    3.1 บริษัทอาจจะเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้

    (1)
    ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง: ท่านอาจให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัทโดยตรงผ่านการกรอกแบบฟอร์ม หรือการนำส่งข้อมูลหรือเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บริษัท เช่น


    • เมื่อท่านแสดงเจตนาขอเอาประกันภัยหรือใช้สิทธิตามกรมธรรม์ประกันภัยส่วนบุคคล ประกันภัยกลุ่ม รวมทั้งเมื่อท่านส่งเอกสารและใบคำขอเอาประกันภัย หรือเมื่อท่านให้ข้อมูลขณะที่พิจารณาคำขอเอาประกันภัยหรือสิทธิตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือบริการต่างๆ ของบริษัท
    • เมื่อท่านเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ กับบริษัท หรือขอใช้บริการอื่นๆ ผ่านช่องทางต่างๆ ของบริษัท
    • เมื่อท่านติดต่อสื่อสารกับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารในรูปแบบลายลักษณ์อักษรหรือวาจา โดยไม่คำนึงว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ติดต่อฝ่ายนั้นก่อน
    • เมื่อท่านส่งคำร้องขอให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ท่านซื้อหรือบริการที่ท่านใช้กับบริษัท หรือคำร้องขออื่นใดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ท่านซื้อหรือบริการที่ท่านใช้กับบริษัท รวมถึงการส่งแบบฟอร์มและเอกสารเกี่ยวกับการขอรับบริการที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยของบริษัท
    • เมื่อท่านติดต่อกับบริษัท บุคลากรและคู่ค้าของบริษัทผ่านทางเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน สื่อสังคมออนไลน์ โทรศัพท์ อีเมล การพบปะกันโดยตรง การสัมภาษณ์ ข้อความสั้น (SMS) โทรสาร ไปรษณีย์ หรือโดยวิธีการอื่นใด
    • เมื่อท่านส่งข้อมูลส่วนบุคคลให้บริษัทเพื่อเข้าร่วมในกิจกรรมทางการตลาด การประกวด การจับสลากชิงโชค งานอีเว้นท์ การแข่งขันต่างๆ กิจกรรมหรือโครงการอื่นใด เช่น กิจกรรมเพื่อสังคม ที่จัดขึ้นโดยหรือในนามของบริษัทและ/หรือบุคลากรและคู่ค้าของบริษัท

    (2)

    ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมโดยระบบหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์:



    • บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลทางเทคนิคบางอย่างเกี่ยวกับอุปกรณ์ กิจกรรมและรูปแบบการเข้าชม ข้อมูล ประวัติการใช้งานเว็บไซต์ (browsing) ของท่านโดยอัตโนมัติโดยใช้คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันเมื่อท่านเข้าถึงหรือใช้เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน หรือบริการต่างๆ ทางออนไลน์ของบริษัท บนคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อื่นใด รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดดูนโยบายการใช้คุกกี้ https://www.thailife.com/CookiePolicy
    • เมื่อท่านเข้ามาติดต่อหรือใช้บริการในพื้นที่ของบริษัท ซึ่งบริษัทอาจมีการบันทึกภาพและเสียงผ่านระบบ เช่น ระบบ CCTV ระบบบันทึกเสียงโทรศัพท์

    (3) ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากแหล่งอื่น: ในบางกรณีบริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาจากแหล่งอื่น เช่น


    • กรณีที่บริษัทได้รับข้อมูลจากการตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลที่เป็นสาธารณะ แหล่งข้อมูลส่วนตัว หรือแหล่งข้อมูลเชิงพาณิชย์ เว็บไซต์ แหล่งข้อมูลสื่อสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการข้อมูล (data providers) แหล่งข้อมูลทางการแพทย์ สถานบริการสาธารณสุข โรงพยาบาล แพทย์ บุคลากรผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขอื่น ผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่น สมาคมหรือสมาพันธ์ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย
    • บุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด หรือบุคคลที่เป็นเครือญาติของท่าน หรือบุคคลแวดล้อมที่อาจให้ข้อมูลอันจำเป็นต่อการพิจารณารับประกัน การชดใช้เงิน หรือการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันชีวิต
    • เมื่อบุคลากรหรือคู่ค้าของบริษัทได้แนะนำท่านให้แก่บริษัท หรือเมื่อบริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากบุคลากรและคู่ค้าของบริษัท
    • เมื่อบุคคลอื่นที่รู้จักกับท่านหรือได้รับความยินยอมจากท่านได้แนะนำท่านให้แก่บริษัท เพื่อให้บริษัทติดต่อและแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เหมาะสมแก่ท่าน
    • เมื่อบุคคลที่เข้าทำธุรกรรมกับบริษัท เช่น ผู้ขอเอาประกันภัย ผู้เอาประกันภัย คู่ค้า ผู้สมัครงาน ตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต ผู้รับช่วงสิทธิ ผู้รับมอบอำนาจ ผู้รับมอบฉันทะ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนตามกฎหมายจำเป็นต้องให้ข้อมูลของท่านแก่บริษัทเพื่อการติดต่อ หรือเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลง หรือทำธุรกรรมใดๆ กับบริษัท
    • เมื่อบุคคลที่เข้าทำธุรกรรมกับบริษัทได้ทำธุรกรรมใดๆ เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายกับท่าน เช่น การชำระเบี้ยประกันภัยให้กับท่าน
    • กรณีที่บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอกเพื่อวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติตามกฎหมายและเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกำกับดูแล ตลอดจนเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)


    3.2
    ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆ ตามที่ระบุในนโยบาย ฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้วัตถุประสงค์อันชอบด้วยกฎหมาย หรือหากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน โดยจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเมื่อท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท

    3.3

    ท่านอาจเลือกที่จะไม่ให้บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลบางประการที่บริษัทร้องขอ อย่างไรก็ดี การที่ท่านเลือกที่จะไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลบางประการดังกล่าว อาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการทำธุรกรรมระหว่างบริษัทกับท่าน หรือต่อการให้บริการของบริษัทต่อท่าน หรือต่อการตอบสนองคำร้องขออื่นๆ ของท่านได้ เช่น บริษัทอาจไม่สามารถดำเนินการเพื่อเข้าทำสัญญาประกันภัยกับท่านได้ หรือบริษัทอาจไม่สามารถให้บริการต่างๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย หรือ บริการของบริษัท รวมถึงการให้บริการเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หรือการดำเนินการตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ท่านได้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

    3.4
    ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หากบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อมูลใดที่ไม่มีความจำเป็นในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย บริษัทอาจดำเนินการลบ ทำลาย หรือดำเนินการด้วยวิธีการใดๆ เช่น การใช้ปากการะบายปิดทับลงบนข้อมูลศาสนาในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อมิให้ปรากฏข้อมูลดังกล่าวในการจัดเก็บ หรือทำให้ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ เป็นต้น


    4. วัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

    4.1 บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อวัตถุประสงค์ (รวมเรียกว่า “วัตถุประสงค์ที่กำหนด”) และภายใต้ฐานทางกฎหมายดังนี้
    วัตถุประสงค์ ฐานตามกฎหมาย ประเภทข้อมูล
    (1) เพื่อชักชวน ชี้ช่อง และนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทผ่านช่องทางทางต่างๆ อาทิ ตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต โทรศัพท์ หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ การประเมินข้อมูลของท่านเพื่อให้คำแนะนำรายละเอียดผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทที่เหมาะสม การปฏิบัติตามขั้นตอนกระบวนการเกี่ยวกับการขอเอาประกันภัย การต่ออายุกรมธรรม์ การแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญา
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน
    - ข้อมูลด้านสุขภาพและข้อมูลทางการแพทย์
    - ข้อมูลเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับกับบริษัท
    (2) เพื่อการขอเอาประกันภัย พิจารณารับประกันภัย การยื่นข้อเสนอหรือเงื่อนไขใหม่ในการรับประกัน - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญา
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน
    - ข้อมูลด้านสุขภาพและข้อมูลทางการแพทย์
    - ข้อมูลรายละเอียดผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการต่างๆ ที่ท่านเคยซื้อหรือรับบริการจากบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ
    - ข้อมูลเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับกับบริษัท
    (3) เพื่อการดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์ สัญญาหรือข้อตกลงต่างๆ ที่ท่านทำไว้กับบริษัท เช่น การใช้สิทธิตามกรมธรรม์การชดใช้เงินตามกรมธรรม์ หรือเพื่อดำเนินการตามคำร้องหรือคำขอที่ท่านได้ยื่นไว้กับบริษัท ซึ่งรวมถึงการรวบรวม ตรวจสอบเอกสาร ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องทั้งที่ได้รับจากท่านหรือจากแหล่งอื่น เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการตามเงื่อนไขกรมธรรม์ สัญญาหรือข้อตกลง - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญา
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน
    - ข้อมูลด้านสุขภาพและข้อมูลทางการแพทย์
    - ข้อมูลรายละเอียดผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการต่างๆ ที่ท่านเคยซื้อหรือรับบริการจากบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ
    - ข้อมูลเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับกับบริษัท
    (4) เพื่อดำเนินการในการทำประกันภัยต่อของบริษัท - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญา
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลด้านสุขภาพและข้อมูลทางการแพทย์
    - ข้อมูลรายละเอียดผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการต่างๆ ที่ท่านเคยซื้อหรือรับบริการจากบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ
    (5) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ประมวลผลสำหรับการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย และ/หรือบริการของบริษัท การทำวิจัยทางการตลาด การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก หรือวิจัยเชิงสถิติหรือคณิตศาสตร์ประกันภัย หรือการทำการตลาด รายการส่งเสริมการขาย การแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งที่เป็นแบบเจาะจงรายบุคคลหรือตามกลุ่มเป้าหมาย หรือการทำรายงานการประเมินผลต่างๆ เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจของบริษัท กลุ่มบริษัท บุคลากรและคู่ค้าของบริษัท หรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับบริษัท - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน
    - ข้อมูลด้านสุขภาพและข้อมูลทางการแพทย์
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง
    - ข้อมูลด้านเทคนิค
    - ข้อมูลรายละเอียดผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการต่างๆ ที่ท่านเคยซื้อหรือรับบริการจากบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ
    - ข้อมูลการทำธุรกรรมหรือขอใช้บริการระหว่างท่านและบริษัท
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (6) เพื่อประมวลผลพฤติกรรมหรือการใช้งานเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ และการทำความเข้าใจลักษณะการใช้งานที่ท่านสนใจ เพื่อใช้ในการประเมิน ปรับปรุงและพัฒนาแพลตฟอร์มต่างๆ ดังกล่าวให้ตอบสนองความสนใจที่เหมาะสมกับท่านโดยเฉพาะ และเพื่อการแก้ไขปัญหาต่างๆ จากการใช้งาน การแนะนำผลิตภัณฑ์ และ/หรือบริการที่เกี่ยวข้อง และการจัดโฆษณาบนเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และช่องทางอื่นๆ ตามกลุ่มเป้าหมาย - ความยินยอม - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลด้านเทคนิค
    - ข้อมูลรายละเอียดผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการต่างๆ ที่ท่านเคยซื้อหรือรับบริการจากบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ
    - ข้อมูลการทำธุรกรรมหรือขอใช้บริการระหว่างท่านและบริษัท
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (7) เพื่อการตรวจสอบธุรกิจของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบภายใน หรือการตรวจสอบจากบุคคลภายนอก หรือเพื่อการสืบสวนหรือป้องกันการกระทำที่เกี่ยวกับการฉ้อโกง ฉ้อฉลประกันภัย การปกปิดข้อความจริง และการกระทำผิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำผิดจริงหรือการกระทำที่สงสัยว่าจะเป็นการกระทำผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการติดต่อสื่อสารกับบริษัทต่างๆ ในธุรกิจบริการทางการเงินและการประกันภัย ตลอดจนเพื่อการติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับบริษัท - เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
    - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน
    - ข้อมูลด้านสุขภาพและข้อมูลทางการแพทย์
    - ข้อมูลรายละเอียดผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการต่างๆ ที่ท่านเคยซื้อหรือรับบริการจากบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ
    - ข้อมูลการทำธุรกรรมหรือขอใช้บริการระหว่างท่านและบริษัท
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (8) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อตกลง หรือนโยบายที่ใช้บังคับ ซึ่งกำหนดขึ้นโดยหน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย หรือหน่วยงานที่ดูแลธุรกิจประกันภัย ไม่ว่าหน่วยงานใดก็ตาม ตลอดจนเพื่อการบังคับใช้กฎหมาย หรือการให้ความช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือ การสืบสวนโดยบริษัทหรือในนามของบริษัท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือโดยหน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ในประเทศ และ การดำเนินการตามหน้าที่ในการรายงาน และข้อกำหนดต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด หรือ ตามที่มีการตกลงเห็นชอบกับหน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ในประเทศหรือเขตการปกครองใดๆ หรือการดำเนินการตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือ หน่วยงานของรัฐ - เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน
    - ข้อมูลด้านสุขภาพและข้อมูลทางการแพทย์
    - ข้อมูลรายละเอียดผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการต่างๆ ที่ท่านเคยซื้อหรือรับบริการจากบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ
    - ข้อมูลเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับกับบริษัท
    - ข้อมูลการทำธุรกรรมหรือขอใช้บริการระหว่างท่านและบริษัท
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (9) เพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัย การจัดการและการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และความปลอดภัยพนักงานและบุคคลภายนอก รวมทั้ง ทรัพย์สินและข้อมูลต่าง ๆ - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย
    - เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลด้านเทคนิค
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (10) เข้าซื้อ หรือจำหน่าย จ่าย โอนซึ่งหุ้น ทรัพย์สินหรือหน่วยธุรกิจใดๆ (ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด) ของบริษัท - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลรายละเอียดผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการต่างๆ ที่ท่านเคยซื้อหรือรับบริการจากบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ
    - ข้อมูลเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับกับบริษัท
    - ข้อมูลการทำธุรกรรมหรือขอใช้บริการระหว่างท่านและบริษัท

    ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่กำหนด และฐานทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โปรดติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 12 (ช่องทางการใช้สิทธิและช่องทางการติดต่อบริษัท) ด้านล่าง

    4.2
    เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทจะดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น ในส่วนที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ตามสัญญาหรือข้อตกลงต่างๆ เช่น สัญญาประกันภัย หรือตามคำร้องหรือคำขอที่ท่านได้ยื่นไว้แก่บริษัท หรือมีความจำเป็นเพื่อเข้าทำสัญญากับท่าน เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแก่บริษัท หรือไม่ให้ความยินยอมในการประมวลผล หรือเพิกถอนหรือคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัทต้องได้รับความยินยอมจากท่าน อาจมีผลกระทบทางกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถเข้าทำสัญญาประกันภัยหรือสัญญาอื่นใดกับท่านได้ หรืออาจจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ภายใต้สัญญาประกันภัยหรือสัญญาอื่นใดที่ได้เข้าทำกับท่าน หรือบริษัทอาจไม่สามารถให้บริการต่าง ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย หรือบริการของบริษัท หรือดำเนินการตามคำร้องหรือคำขอของท่านได้ ซึ่งรวมถึงการให้บริการเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนให้แก่ท่านได้ (แล้วแต่กรณี) ในกรณีดังกล่าว บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องปฏิเสธการเข้าทำสัญญากับท่าน หรือยกเลิกสัญญาหรือการให้บริการที่เกี่ยวข้องต่อท่าน หรือไม่สามารถดำเนินการตามคำร้องหรือคำขอของท่าน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
    4.3
    ในกรณีที่บริษัทจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่กำหนดซึ่งระบุไว้ข้างต้น บริษัทจะจัดให้มีนโยบายหรือประกาศเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติม เพื่ออธิบายการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะดังกล่าว ท่านควรอ่านนโยบายหรือประกาศเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องร่วมกับนโยบาย ฉบับนี้


    5. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    5.1 บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดและตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ให้แก่หน่วยงานและบุคคลดังต่อไปนี้

    (1) พนักงาน ลูกจ้าง หรือบุคลากรภายในบริษัท เท่าที่เกี่ยวข้องและตามความจำเป็นเพื่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้วัตถุประสงค์ตามนโยบายฉบับนี้

    (2) ตัวแทนประกันชีวิตของบริษัท คู่ค้า คู่สัญญา เช่น นายหน้าประกันชีวิต บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนาคาร สถาบันการเงิน และ/หรือบุคลากรของคู่ค้าหรือคู่สัญญา เท่าที่เกี่ยวข้อง และตามความจำเป็นเพื่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคลของท่าน เพื่อทำการเชิญชวน ชี้ช่อง เสนอขายและจัดจำหน่าย หรือให้บริการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และ/หรือบริการของบริษัทให้แก่ท่าน หรือจัดทำรายการส่งเสริมการขาย การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ต่างๆ หรือเพื่อการดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด

    (3) ผู้ถือกรมธรรม์ ในกรณีของผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบกลุ่ม

    (4) นายหน้าประกันภัยต่อและบริษัทประกันภัยต่อ ในกรณีที่บริษัทต้องทำสัญญาประกันภัยต่อ

    (5) คู่ค้า คู่สัญญา ผู้ให้บริการภายนอก และ/หรือบุคลากรของคู่ค้า คู่สัญญา หรือผู้ให้บริการภายนอก ซึ่งให้บริการเกี่ยวกับการจัดการต่างๆ การให้บริการประมวลผลข้อมูล บริการเกี่ยวกับกระบวนการทางธุรกิจ บริการเกี่ยวกับการชำระเงิน การทวงหนี้ หรือ การหักบัญชีหลักทรัพย์ บริการโทรคมนาคม บริการด้านเทคโนโลยี บริการคลาวด์ บริการจัดหาผู้รับจ้างปฏิบัติงาน บริการคอลเซ็นเตอร์ บริการจัดเก็บของ การดำเนินการเกี่ยวกับเอกสาร บริการเก็บบันทึกข้อมูล บริการสแกนเอกสาร บริการรับส่งไปรษณีย์ บริการจัดพิมพ์ บริการส่งพัสดุหรือบริการรับส่งพัสดุโดยพนักงานรับส่งพัสดุ บริการวิเคราะห์ข้อมูล บริการทำการตลาด บริการทำการวิจัย บริการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉิน บริการทางกฎหมาย หรือบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท หรือการจัดให้มีการบริหารจัดการ การดำเนินการ การปฏิบัติตามขั้นตอน หรือการจัดการต่างๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยหรือบริการของบริษัทให้แก่ท่าน หรือการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของบริษัท

    (6) สมาคมประกันชีวิตไทย ผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยรายอื่นๆ สมาคมหรือสมาพันธ์อื่นๆ ในภาคธุรกิจประกันภัย และ/หรือภาคธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของบริษัท เช่น สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน สมาคมธนาคารไทย

    (7) หน่วยงานและเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย คณะกรรมการต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย หน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานที่มีหน้าที่ระงับข้อพิพาท ซึ่งไม่จำกัดเพียงสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กรมการปกครอง กรมสรรพากร กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด ศาล หรือบุคคลอื่นใดที่บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลให้ตามหน้าที่ที่กฎหมายและ/หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนด
    (หมายเหตุ: ท่านสามารถศึกษารายละเอียดนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้ที่เว็บไซต์ www.oic.or.th)

    (8) ผู้ให้คำปรึกษาของบริษัทซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ อาทิ ทนายความ แพทย์ ผู้ตรวจสอบบัญชี หรือที่ปรึกษาด้านต่างๆ

    (9)
    ผู้เข้าทำธุรกรรม หรือจะเข้าทำธุรกรรมกับบริษัทโดยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจเป็นส่วนหนึ่งของการซื้อหรือขาย หรือเป็นส่วนหนึ่งของการเสนอซื้อหรือเสนอขายกิจการของบริษัท (หากมี)

    (10) บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    (11) บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่ท่านให้ความยินยอมสำหรับการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อบุคคลหรือหน่วยงานนั้นๆ

    5.2

    การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลอื่น บริษัทจะดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น หรือวัตถุประสงค์อื่นที่กฎหมายกำหนดให้กระทำได้เท่านั้น ในกรณีที่กฎหมายกำหนดว่าต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมจากท่านก่อน
    5.3 ในกรณีที่บริษัทเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลอื่น บริษัทจะจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้เปิดเผยและเพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานและหน้าที่การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด
    5.4 ในกรณีที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปต่างประเทศ บริษัทจะดำเนินการเพื่อทำให้แน่ใจว่าประเทศปลายทาง องค์กรระหว่างประเทศ หรือผู้รับข้อมูลในต่างประเทศนั้นมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ ในบางกรณีบริษัทอาจขอความยินยอมของท่านสำหรับการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด


    6. ระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

    6.1 บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ โดยระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลจะเปลี่ยนแปลงไปโดยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ นอกจากนี้ บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด (ถ้ามี) โดยคำนึงถึงอายุความตามกฎหมายสำหรับการดำเนินคดีที่อาจเกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับเอกสารหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมไว้ในแต่ละรายการ และโดยคำนึงถึงแนวปฏิบัติทางธุรกิจสำหรับแต่ละประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสำคัญ
    6.2 บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาตามความจำเป็นและเหมาะสมในการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลภายใต้วัตถุประสงค์ที่ระบุไว้หรือสูงสุดไม่เกิน [11] ปี นับแต่วันที่ธุรกรรมระหว่างท่านกับบริษัทสิ้นสุดลง อย่างไรก็ดี บริษัทอาจเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาเกินกว่าที่กำหนดหากกฎหมายอนุญาต หรือเป็นการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลบนฐานการประมวลผลอื่น หรือกรณีที่มีความจำเป็นเพิ่มเติม
    6.3 ในกรณีที่บริษัทไม่มีความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอีกต่อไป หรือภายหลังจากพ้นระยะเวลาดังกล่าวข้างต้น บริษัทจะทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวท่านได้ โดยอาจไม่มีการแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า


    7. ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ

    บริษัทอาจเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ เป็นครั้งคราว ในกรณีดังกล่าวนั้น บริษัทจะปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้ใช้อำนาจปกครอง (ในกรณีของผู้เยาว์) การขอความยินยอมจากผู้อนุบาล (ในกรณีของคนไร้ความสามารถ) และการขอความยินยอมจากผู้พิทักษ์ (ในกรณีของคนเสมือนไร้ความสามารถ) ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด


    8. การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศ

    8.1 ในบางกรณีบริษัทอาจจำเป็นต้องส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในการให้บริการแก่ท่าน เช่น เพื่อส่งข้อมูลส่วนบุคคลไปยังระบบคลาวด์ (Cloud) ที่มีแพลตฟอร์มหรือเครื่องแม่ข่าย (Server) อยู่ต่างประเทศ หรือเพื่อการให้บริการอันเกี่ยวกับเงื่อนไขกรมธรรม์หรือบริการเพิ่มเติมกับท่าน หรือเพื่อการเอาประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยต่อ เป็นต้น
    8.2 ในขณะที่จัดทำนโยบายฉบับนี้ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลยังมิได้มีประกาศกำหนดรายการประเทศปลายทางที่มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ ดังนั้น เมื่อบริษัทมีความจำเป็นต้องส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังประเทศปลายทาง บริษัทจะดำเนินการเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งหรือโอนไปมีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเพียงพอตามมาตรฐานสากล หรือดำเนินการตามเงื่อนไขเพื่อให้สามารถส่งหรือโอนข้อมูลนั้นได้ตามกฎหมาย ได้แก่

    (1) เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดให้บริษัทต้องส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศ

    (2) ได้แจ้งให้ท่านทราบและได้รับความยินยอมจากท่านในกรณีที่ประเทศปลายทางมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่เพียงพอ ทั้งนี้ตามประกาศรายชื่อประเทศที่คณะกรรมการคุ้มครองส่วนบุคคลประกาศกำหนด

    (3) เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาที่ท่านเป็นคู่สัญญากับบริษัท หรือเป็นการทำตามคำขอของท่านก่อนการเข้าทำสัญญา

    (4) เป็นการกระทำตามสัญญาของบริษัทกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์ของท่าน

    (5) เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของท่านหรือของบุคคลอื่น เมื่อท่านไม่สามารถให้ความยินยอมในขณะนั้นได้

    (6) เป็นการจำเป็นเพื่อดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ


    9. สิทธิต่างๆ ของท่านเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

    9.1 ในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านดังต่อไปนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    (1) สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอเข้าถึง รับสำเนาและขอให้เปิดเผยที่มาของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมและประมวลผล เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านด้วยเหตุตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล หรือกรณีที่การใช้สิทธิของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

    (2) สิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทรับ ส่ง หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านระหว่างบริษัทกับผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลอื่น ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติและสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้โดยวิธีการอัตโนมัติ ทั้งนี้ การใช้สิทธินี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด และในภาคธุรกิจประกันภัยมีระบบที่สามารถรองรับการใช้สิทธิในเรื่องนี้ได้

    (3) สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน เว้นแต่ กรณีที่บริษัทมีเหตุในการปฏิเสธคำขอโดยชอบด้วยกฎหมาย (เช่น สามารถแสดงให้เห็นว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมีเหตุอันชอบด้วยกฎหมายยิ่งกว่า หรือเพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะของบริษัท)

    (4) สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทลบ หรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่สามารถระบุตัวบุคคลของท่านได้ต่อไป ทั้งนี้ การใช้สิทธิลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด

    (5) สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทลบ หรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่สามารถระบุตัวบุคคลของท่านได้ต่อไป ทั้งนี้ การใช้สิทธิลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด
    (ก) เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่บริษัททำการตรวจสอบตามคำร้องขอของท่านที่ให้บริษัทแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง สมบูรณ์และเป็นปัจจุบัน
    (ข) ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
    (ค) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่านหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้แจ้งในการเก็บรวบรวม แต่ท่านยังประสงค์ให้บริษัทเก็บรักษาข้อมูลนั้นต่อไปเพื่อประกอบการใช้สิทธิตามกฎหมาย
    (ง) เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังพิสูจน์ถึงเหตุอันชอบด้วยกฎหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือตรวจสอบความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อประโยชน์สาธารณะ อันเนื่องมาจากการที่ท่านได้ใช้สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

    (6) สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง
    กรณีที่ท่านพบว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วนหรือไม่เป็นปัจจุบัน ท่านมีสิทธิขอให้แก้ไขเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้

    (7) สิทธิที่จะเพิกถอนความยินยอมที่ให้บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    ในกรณีที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัทในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (ไม่ว่าความยินยอมนั้นจะได้ให้ไว้ก่อนหรือหลังพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ) ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรักษาโดยบริษัท เว้นแต่ มีข้อจำกัดสิทธิโดยกฎหมายให้บริษัทจำเป็นต้องเก็บรักษาข้อมูลต่อไปหรือยังคงมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ (เช่น สัญญาประกันชีวิต)

    (8) สิทธิในการยื่นข้อร้องเรียน
    ในกรณีที่ท่านพบว่าบริษัทมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิร้องเรียนไปยังคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือตามกฎหมาย ทั้งนี้ ก่อนการร้องเรียนดังกล่าว บริษัทขอให้ท่านโปรดติดต่อมายังบริษัท เพื่อให้บริษัทมีโอกาสได้รับทราบข้อเท็จจริงและได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆ รวมถึงจัดการแก้ไขข้อกังวลของท่านก่อนในโอกาสแรก


    ทั้งนี้ หากท่านประสงค์ที่จะขอใช้สิทธิของท่าน ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 12 (ช่องทางการใช้สิทธิและช่องทางการติดต่อบริษัท)


    9.2 บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นก่อให้เกิดภาระแก่บริษัทเกินสมควร หรือเสี่ยงต่อการละเมิดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ ทั้งนี้ บริษัทอาจมีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องขอใช้สิทธิข้างต้น เท่าที่กฎหมายและกฎระเบียบที่ใช้บังคับอนุญาต


    10. ความมั่นคงปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

    บริษัทได้จัดให้มีระบบการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลและมาตรการรักษาความปลอดภัยเชิงเทคนิคและเชิงบริหารจัดการที่เหมาะสม เพื่อทำให้มั่นใจว่าระดับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง


    11. การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์และบริการของบุคคลภายนอก

    บนเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทอาจมีลิงค์เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ และบริการของบุคคลภายนอก ในกรณีที่ท่านกดลิงก์เชื่อมโยงที่ปรากฏบนบนเว็บไซต์ของบริษัทไปยังบุคคลภายนอก บุคคลภายนอกเหล่านั้นอาจเก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับการใช้บริการของท่าน ดังนั้น ท่านควรใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ และบริการของบุคคลภายนอกเหล่านั้นด้วย ทั้งนี้ บริษัทไม่สามารถรับผิดชอบในความปลอดภัยหรือความเป็นส่วนตัวของข้อมูลใดๆ ของท่านที่ถูกเก็บรวบรวมโดยเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของบุคคลภายนอกดังกล่าว และนโยบายฉบับนี้ใช้เฉพาะสำหรับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดโดยบริษัทเท่านั้น


    12. ช่องทางการใช้สิทธิและช่องทางการติดต่อบริษัท

    12.1 การใช้สิทธิตามกฎหมาย
    หากท่านต้องการใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่านสามารถใช้สิทธิผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้

    (1) สำนักงานใหญ่

    (2) สำนักงานสาขาของบริษัททุกแห่ง

    ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดรับการใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป
    12.2 การติดต่อสอบถามข้อมูล
    เรื่องที่ต้องการติดต่อ ช่องทางติดต่อ
    สอบถามข้อมูลทั่วไป ติดต่อได้ที่หมายเลข 1124
    สอบถามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    ไปรษณีย์: บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
    สำนักคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เลขที่ 123
    ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
    กรุงเทพ 10400

    อีเมล: dpo@thailife.com


    13. การเปลี่ยนแปลงนโยบาย นี้

    บริษัทอาจทำการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงนโยบาย นี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ ด้วยช่องทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำให้ท่านตรวจสอบทบทวนนโยบาย นี้เป็นครั้งคราว



    นโยบาย ฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ [วันที่ 1 มิถุนายน 2565]


    ***************************************************************

     
     

  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต

    นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต


    บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นอย่างมาก บริษัทในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจึงได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (“นโยบาย”) ฉบับนี้ขึ้นเพื่อชี้แจงรายละเอียดและวิธีการจัดการและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากท่านหรือจากแหล่งข้อมูลอื่น รวมถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย และ/หรือ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตลอดจนระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวและสิทธิของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล


    บริษัทยึดมั่นในค่านิยมที่ว่า ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นที่ท่านมีให้แก่บริษัท เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งสำหรับบริษัท ดังนั้นบริษัทจึงมุ่งมั่นที่จะจัดการให้มีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

     

    1. นิยาม

    “บริษัท” หมายถึง บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
    "ตัวแทนหรือนายหน้า
    ประกันชีวิต"
    หมายถึง ตัวแทนประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันชีวิตที่บริษัทอนุญาตให้ทำการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของบริษัท ทั้งนี้ให้หมายความรวมถึงผู้มุ่งหวังตัวแทนประกัน ชีวิต และตัวแทนประกันชีวิตฝึกหัด
    “ผู้มุ่งหวังตัวแทนประกัน
    ชีวิต”
    หมายถึง บุคคลที่มีคุณสมบัติหรือความเหมาะสมที่บริษัท พนักงานของบริษัท หรือตัวแทน ประกันชีวิตของบริษัทอาจทำการชักชวนหรือแนะนำในการสมัครเข้าเป็นตัวแทน ประกันชีวิตหรือตัวแทนประกันชีวิตฝึกหัดของบริษัท
    “ตัวแทนประกันชีวิต ฝึกหัด” หมายถึง ผู้สมัครเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัท ซึ่งอยู่ระหว่างการฝึกหัดและการอบรมเพื่อ เข้ารับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัท
    “กฎหมายว่าด้วยการ
    คุ้มครองข้อมูลส่วน บุคคล”
    หมายถึง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่ เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ในอนาคต
    “ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    "การประมวลผลข้อมูล
    ส่วนบุคคล”
    หมายถึง

    การดำเนินการใดๆ กับข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าด้วยวิธีการอัตโนมัติหรือไม่ก็ตาม เช่นการเก็บรวบรวม การบันทึก การจัดระบบ การจัดเก็บ การปรับเปลี่ยนหรือการดัดแปลงการเรียกคืน การปรึกษา การใช้ การเปิดเผย (โดยการส่ง โอน การเผยแพร่หรือการทำ ให้สามารถเข้าถึงหรือพร้อมใช้งานโดยวิธีใด ๆ) การจัดเรียง การนำมารวมกัน การห้าม เข้าถึงหรือจำกัด การลบหรือการทำลาย เป็นต้น

     

    2. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม

    2.1 ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทเก็บรวบรวมหรือจะเก็บรวบรวม ภายใต้นโยบายนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านโดยอัตโนมัติ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากแหล่งอื่น ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลดังต่อไปนี้
    (1) ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อนามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ เพศ รูปถ่าย หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง (Passport) ลายมือชื่อ สัญชาติ ศาสนา สถานภาพสมรส และข้อมูลบุคคลในครอบครัว เป็นต้น
    (2) ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ที่อยู่เพื่อจัดส่งไปรษณีย์ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ข้อมูลการติดต่อทางโซเชียลมีเดีย เป็นต้น
    (3) ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม เช่น ประวัติการศึกษาและการฝึกอบรม หนังสือรับรองคุณวุฒิหรือใบแสดงผลการศึกษา ผลคะแนนหรือระดับคะแนน ระดับการศึกษา หนังสือรับรองและหนังสืออ้างอิงจากสถาบันการศึกษา ความสามารถทางภาษา ข้อมูลการอบรมและข้อมูลการทดสอบซึ่งจัดโดยบริษัทหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง วุฒิบัตรหรือประกาศนียบัตร เป็นต้น
    (4) ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครเข้าเป็นตัวแทน เช่น ประวัติส่วนตัว ข้อมูลการสัมภาษณ์ และหลักฐานหรือหนังสืออ้างอิงต่างๆ เป็นต้น
    (5) รายละเอียดการทำงานพื้นฐาน เช่น รายละเอียดสถานที่ทำงานของท่าน หมายเลขใบอนุญาตตัวแทน/ นายหน้าประกันชีวิต รายละเอียดหน่วยงานต้นสังกัด ตำแหน่ง สายการบังคับบัญชา และข้อตกลงและเงื่อนไขของการเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต เป็นต้น
    (6) ประวัติเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การประเมินผลการปฏิบัติงาน รางวัลที่เคยได้รับ ประวัติการถูกร้องเรียน บันทึกการสอบสวน การถูกเพิกถอนใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต การถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต การถูกยกเลิกสัญญาตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต และโทษทางวินัย รวมถึงการตรวจสอบและการประเมินความเสี่ยง เป็นต้น
    (7) ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าตอบแทน เช่น รายละเอียดเกี่ยวกับค่าบำเหน็จ และ/หรือผลประโยชน์อื่นๆ ที่ท่านได้รับ เลขบัญชีธนาคาร ข้อมูลทางภาษี ข้อมูลของบุคคลภายนอกผู้ได้รับผลประโยชน์ เป็นต้น
    (8) ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ เช่น ประวัติอาชญากรรม บันทึกเกี่ยวกับการดำเนินคดีไม่ว่าทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครอง หรือการดำเนินคดีอื่นๆ รวมไปถึงรายงานของตำรวจ และคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
    (9) ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล เช่น ข้อมูลของท่านที่ปรากฏในหนังสือรับรองบริษัท บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือเอกสารเกี่ยวกับนิติบุคคลอื่นใดที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้อมูลอื่นใดที่บริษัทร้องขอจากนิติบุคคลของท่าน หรือจากท่านเพื่อใช้ในการประกอบการเข้าทำสัญญา การบริการ หรือการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้อง ตามที่บริษัทได้แจ้งหรือร้องขอไปยังท่าน
    (10) ข้อมูลอื่นๆ เช่น บันทึกภาพและเสียงผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ บันทึกเสียงการสนทนา เป็นต้น


    2.2 บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive Personal Data) ของท่าน เช่น ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา เพื่อประกอบการตรวจสอบในการเข้าทำสัญญากับท่าน หรือนิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน หรือเพื่อตรวจสอบเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย เป็นต้น


    2.3 ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอม (โปรดดูรายละเอียดในข้อ 8) หากท่านประสงค์ที่จะขอใช้สิทธิของท่าน ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 11 (ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท) ทั้งนี้ การใช้และ/หรือเปิดเผยและการดำเนินการอื่นเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน จะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในนโยบายนี้

     

    3. วิธีที่บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

    3.1
    บริษัทอาจจะเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
    (1) ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง: ท่านอาจให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัทโดยตรงผ่านการกรอกแบบฟอร์ม หรือการนำส่งข้อมูลหรือเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บริษัท เช่น
    • เมื่อท่านสมัครเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัท หรือเข้าทำสัญญาตัวแทนประกันชีวิตกับบริษัท รวมทั้งเมื่อท่านส่งเอกสารหรือข้อมูลของท่านพื่อประกอบการทำธุรกรรมดังกล่าว หรือธุรกรรมอื่นใดกับบริษัท
    • เมื่อท่านเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ กับบริษัท หรือขอใช้บริการอื่นๆ ผ่านช่องทางต่างๆ ของบริษัท เช่น สัญญาหรือข้อตกลงเพื่อเสนอขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท
    • เมื่อท่านติดต่อสื่อสารกับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารในรูปแบบลายลักษณ์อักษรหรือวาจา โดยไม่คำนึงว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ติดต่อฝ่ายนั้นก่อน
    • เมื่อท่านส่งคำร้องขอหรือหนังสือเพื่อขอรับบริการใดๆ จากบริษัท
    • เมื่อท่านติดต่อกับบริษัท บุคลากร หรือบุคคลซึ่งกระทำการในนามของบริษัทผ่านทางเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน สื่อสังคมออนไลน์ โทรศัพท์ อีเมล การพบปะกันโดยตรง การสัมภาษณ์ ข้อความสั้น (SMS) โทรสาร ไปรษณีย์ หรือโดยวิธีการอื่นใด
    • เมื่อท่านส่งข้อมูลส่วนบุคคลให้บริษัทเพื่อเข้าร่วมในกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ ที่บริษัทจัดทำขึ้น เช่น กิจกรรมทางการตลาด กิจกรรมส่งเสริมการขาย กิจกรรมเพื่อสังคม
    (2) ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านโดยระบบหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์:
    • บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลทางเทคนิคบางอย่างเกี่ยวกับอุปกรณ์ กิจกรรมและรูปแบบการเข้าใช้งานผ่านการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์หรือระบบต่างๆ ของบริษัท หรือที่บริษัทจัดไว้ให้
    • เมื่อท่านเข้ามาติดต่อหรือใช้บริการในพื่นที่ของบริษัท ซึ่งบริษัทอาจมีการบันทึกภาพและเสียงผ่านระบบ เช่น ระบบ CCTV ระบบบันทึกเสียงโทรศัพท์
    (3) ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากแหล่งอื่น: ในบางกรณีบริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาจากแหล่งอื่น เช่น
    • เมื่อบุคคลอื่นที่รู้จักกับท่านหรือได้รับความยินยอมจากท่านได้แนะนำท่านหรือให้ข้อมูลของท่านแก่บริษัทเพื่อประโยชน์ของท่าน หรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลที่ให้ข้อมูลท่านแก่บริษัท เช่น เพื่อให้บริษัทติดต่อและชักชวนท่านในการสมัตรเป็นตัวแทนของบริษัท เพื่อเป็นบุคคลอ้างอิง หรือเพื่อการติดต่อกรณีฉุกเฉิน
    • แหล่งข้อมูลที่เป็นสาธารณะ แหล่งข้อมูลส่วนตัว หรือแหล่งข้อมูลเชิงพาณิชย์ สาธารณะ แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของท่าน หรือ แหล่งข้อมูลทางการค้า แหล่งข้อมูลของหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานกำกับต่างๆ แหล่งข้อมูลของภาคธุรกิจประกันภัย ธุรกิจการเงิน หรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่น สมาคมหรือสมาพันธ์ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย
    • กรณีที่บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอกเพื่อวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติตามกฎหมายและเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกำกับดูแล ตลอดจนเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

    3.2
    ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆ ตามที่ระบุในนโยบาย ฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ ฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้วัตถุประสงค์อันชอบด้วยกฎหมาย หรือหากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน โดยจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเมื่อท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท

    3.3
    ท่านอาจเลือกที่จะไม่ให้บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลบางประการที่บริษัทร้องขอ อย่างไรก็ดี การที่ท่านเลือกที่จะไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลบางประการดังกล่าว อาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการทำธุรกรรมระหว่างบริษัทกับท่าน หรือต่อการให้บริการของบริษัทต่อท่าน หรือต่อการตอบสนองต่อข้อร้องขออื่น ๆ ของท่านได้ เช่น บริษัทอาจไม่สามารถดำเนินการเพื่อเข้าทำสัญญากับท่านได้ หรือ บริษัทอาจไม่สามารถให้บริการต่างๆ เกี่ยวกับสัญญาที่บริษัททำกับท่านได้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

    3.4 ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หากบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อมูลใดที่ไม่มีความจำเป็นในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย บริษัทอาจดำเนินการลบ ทำลาย หรือดำเนินการด้วยวิธีการใดๆ เช่น การใช้ปากการะบายปิดทับลงบนข้อมูลศาสนาในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อมิให้ปรากฏข้อมูลดังกล่าวในการจัดเก็บ หรือทำให้ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ เป็นต้น


    4.
    วัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    4.1 บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ (รวมเรียกว่า “วัตถุประสงค์ที่กำหนด”) และภายใต้ฐานทางกฎหมายดังนี้

    วัตถุประสงค์ ฐานตามกฎหมาย ประเภทข้อมูล
    (1) เพื่อการแนะนำหรือชักชวนท่านในการสมัครเข้าเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัท - ความยินยอม
    - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    (2) เพื่อการเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงกับท่าน นิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน หรือเพื่อการปฏิบัติตามสิทธิหน้าที่ที่มีตามสัญญาหรือข้อตกลงที่บริษัทเข้าทำกับท่าน นิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน - ความยินยอม
    - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญา
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครเข้าเป็นตัวแทน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล
    (3) เพื่อการตรวจสอบและยืนยันตัวตนของท่าน และ/หรือนิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน หรือเพื่อการตรวจสอบประวัติก่อนและระหว่างเข้าทำสัญญากับท่าน หรือนิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบในระหว่างระยะเวลาตามสัญญาที่บริษัทเข้าทำกับท่าน หรือนิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน - ความยินยอม
    - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญา
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล
    (4) เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการกิจการตัวแทนประกันชีวิต และ/หรือนายหน้าประกันชีวิต รวมถึงการวางแผนกำลังคน การจ่ายผลประโยชน์และค่าตอบแทน การคิดค่าตอบแทนที่จูงใจ ข้อเสนอ รางวัล การฝึกอบรม การประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ การรายงานหรือตรวจสอบภายใน การวิเคราะห์ข้อมูล การแข่งขันการขายต่างๆ การติดต่อสื่อสาร การประกาศ การทำแบบสำรวจ สถิติ การตรวจสอบข้อร้องเรียนและประเด็นของการประพฤติตัวไม่เหมาะสม หรือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางวินัย หรือเพื่อการติดต่อ และการดำเนินธุรกิจของบริษัทตลอดระยะเวลาที่บริษัทยังมีความสัมพันธ์กับท่าน หรือนิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน - ความยินยอม
    - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญา
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครเข้าเป็นตัวแทนลประโยชน์และค่าตอบแทน
    - รายละเอียดการทำงานพื้นฐาน
    - ประวัติเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงาน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล
    (5) เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงประกาศ ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กฎหมายว่าด้วยภาษีอากร กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - ความยินยอม
    - เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล
    (6) เพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัย การจัดการและการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และความปลอดภัยพนักงานและบุคคลภายนอก รวมทั้ง ทรัพย์สินและข้อมูลต่าง ๆ - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย
    - เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลด้านเทคนิค
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (7) เพื่อการก่อตั้ง ใช้ โต้แย้ง หรือดำเนินการตามสิทธิเรียกร้องของบริษัท - ความยินยอม
    - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครเข้าเป็นตัวแทนลประโยชน์และค่าตอบแทน
    - รายละเอียดการทำงานพื้นฐาน
    - ประวัติเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงาน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล
    ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่กำหนด และฐานทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โปรดติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 11. (ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท)

    4.2 เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทจะดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น ในส่วนที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ตามสัญญาหรือข้อตกลงต่างๆ เช่น สัญญาตัวแทนประกันชีวิต สัญญาทางธุรกิจ หรือตามคำร้องหรือคำขอที่ท่านได้ยื่นไว้แก่บริษัท หรือมีความจำเป็นเพื่อเข้าทำสัญญากับท่าน เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแก่บริษัท หรือไม่ให้ความยินยอมในการประมวลผล หรือเพิกถอนหรือคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัทต้องได้รับความยินยอมจากท่าน อาจมีผลกระทบทางกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถเข้าทำสัญญาอื่นใดกับท่านได้ หรืออาจจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ภายใต้สัญญาอื่นใดที่ได้เข้าทำกับท่าน หรือบริษัทอาจไม่สามารถให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องได้ หรือดำเนินการตามคำร้องหรือคำขอของท่านได้ (แล้วแต่กรณี) ในกรณีดังกล่าว บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องปฏิเสธการเข้าทำสัญญากับท่าน หรือยกเลิกสัญญาหรือการให้บริการที่เกี่ยวข้องต่อท่าน หรือไม่สามารถดำเนินการตามคำร้องหรือคำขอของท่าน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

    4.3 ในกรณีที่บริษัทจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่กำหนดซึ่งระบุไว้ข้างต้น บริษัทจะจัดให้มีนโยบายหรือประกาศเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติม เพื่ออธิบายการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะดังกล่าว ท่านควรอ่านนโยบายหรือประกาศเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องร่วมกับนโยบายฉบับนี้

     

    5. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

    5.1 บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดและตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ให้แก่หน่วยงานและบุคคลดังต่อไปนี้

    (1) พนักงาน ลูกจ้าง หรือบุคลากรภายในเท่าที่เกี่ยวข้อง และตามจำเป็นเพื่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

    (2) ตัวแทน นายหน้าประกันชีวิต หรือพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัท เพื่อวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมหรือกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันกันสร้างผลงานหรือสร้างแรงจูงใจ หรือเพื่อส่งเสริมการขาย และ/หรือการเสนอผลิตภัณฑ์ของบริษัท หรือเพื่อการบริหารโครงสร้างของตัวแทนประกันชีวิต หรือนายหน้าประกันชีวิต

    (3) ผู้ให้คำปรึกษาของบริษัท ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ อาทิเช่น ทนายความ แพทย์ ผู้ตรวจสอบบัญชี หรือที่ปรึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญ ภายในหรือภายนอกของบริษัท

    (4) หน่วยงานและเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย คณะกรรมการต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย หน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานที่มีหน้าที่ระงับข้อพิพาท ซึ่งไม่จำกัดเพียงสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กรมการปกครอง กรมสรรพากร กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด ศาล หรือบุคคลอื่นใดที่บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลให้ตามหน้าที่ที่กฎหมายและ/หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนด
    (หมายเหตุ: ท่านสามารถศึกษารายละเอียดนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้ที่เว็บไซต์ www.oic.or.th)

    (5) องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย เช่น สมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมหรือสมาพันธ์อื่นๆ ในภาคธุรกิจประกันภัย เป็นต้น

    (6) ผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ

    (7) หน่วยงานรัฐใดๆ ทางด้านภาษี กฎเกณฑ์ หรือผู้ซึ่งมีอำนาจเหนือบริษัท ตามที่กฎหมายกำหนด หรือตามที่มีการร้องขอให้เปิดเผยเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทหรือเปิดเผยเพื่อประโยชน์สาธารณะ

    (8) คู่ค้า คู่สัญญา ผู้ให้บริการภายนอก และ/หรือบุคลากรของคู่ค้า คู่สัญญา หรือผู้ให้บริการภายนอก ซึ่งให้บริการเกี่ยวกับการจัดการต่างๆ การให้บริการประมวลผลข้อมูล บริการเกี่ยวกับกระบวนการทางธุรกิจ บริการเกี่ยวกับการชำระเงิน การทวงหนี้ หรือ การหักบัญชีหลักทรัพย์ บริการโทรคมนาคม บริการด้านเทคโนโลยี บริการคลาวด์ บริการจัดหาผู้รับจ้างปฏิบัติงาน บริการคอลเซ็นเตอร์ บริการจัดเก็บของ การดำเนินการเกี่ยวกับเอกสาร บริการเก็บบันทึกข้อมูล บริการสแกนเอกสาร บริการรับส่งไปรษณีย์ บริการจัดพิมพ์ บริการส่งพัสดุหรือบริการรับส่งพัสดุโดยพนักงานรับส่งพัสดุ บริการวิเคราะห์ข้อมูล บริการทำการตลาด บริการทำการวิจัย บริการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉิน บริการทางกฎหมาย หรือบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท หรือการจัดให้มีการบริหารจัดการ การดำเนินการ การปฏิบัติตามขั้นตอน หรือการจัดการต่างๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยหรือบริการของบริษัทให้แก่ท่าน หรือการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของบริษัท

    (9) บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    (10) บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่ท่านให้ความยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อบุคคลหรือหน่วยงานนั้น ๆ



    5.2 การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลอื่น บริษัทจะดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น หรือวัตถุประสงค์อื่นที่กฎหมายกำหนดให้กระทำได้เท่านั้น ในกรณีที่กฎหมายกำหนดว่าต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมจากท่านก่อน

    5.3 ในกรณีที่บริษัทเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลอื่น บริษัทจะจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้เปิดเผยและเพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานและหน้าที่การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

    5.4 ในกรณีที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปต่างประเทศ บริษัทจะดำเนินการเพื่อทำให้แน่ใจว่าประเทศปลายทาง องค์กรระหว่างประเทศ หรือผู้รับข้อมูลในต่างประเทศนั้นมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ ในบางกรณี บริษัทอาจขอความยินยอมของท่านสำหรับการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

     

    6. ระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

    6.1 บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ โดยระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลจะเปลี่ยนแปลงไปโดยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ นอกจากนี้ บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด (ถ้ามี) โดยคำนึงถึงอายุความตามกฎหมายสำหรับการดำเนินคดีที่อาจเกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับเอกสารหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมไว้ในแต่ละรายการ และโดยคำนึงถึงแนวปฏิบัติทางธุรกิจสำหรับแต่ละประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสำคัญ

    6.2 บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาตามความจำเป็นและเหมาะสมในการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลภายใต้วัตถุประสงค์ที่ระบุไว้หรือสูงสุดไม่เกิน [11] ปี นับแต่วันที่สิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับบริษัท อย่างไรก็ดี บริษัทอาจเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาเกินกว่าที่กำหนดหากกฎหมายอนุญาต

    6.3 ในกรณีที่บริษัทไม่มีความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอีกต่อไป หรือภายหลังจากพ้นระยะเวลาดังกล่าวข้างต้น บริษัทจะทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวท่านได้ โดยอาจไม่มีการแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า

     

    7. ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ

    บริษัทอาจเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ เป็นครั้งคราว ในกรณีดังกล่าวนั้น บริษัทจะปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้ใช้อำนาจปกครอง (ในกรณีของผู้เยาว์) การขอความยินยอมจากผู้อนุบาล (ในกรณีของคนไร้ความสามารถ) และ การขอความยินยอมจากผู้พิทักษ์ (ในกรณีของคนเสมือนไร้ความสามารถ) ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

     

    8. สิทธิต่างๆ ของท่านเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

    8.1 ในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านดังต่อไปนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    (1) สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอเข้าถึง รับสำเนาและขอให้เปิดเผยที่มาของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมและประมวลผล เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านด้วยเหตุตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล หรือกรณีที่การใช้สิทธิของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น


    (2) สิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทรับ ส่ง หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านระหว่างบริษัทกับผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลอื่น ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติและสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้โดยวิธีการอัตโนมัติ ทั้งนี้ การใช้สิทธินี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด และในภาคธุรกิจประกันภัยมีระบบที่สามารถรองรับการใช้สิทธิในเรื่องนี้ได้


    (3) สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน เว้นแต่ กรณีที่บริษัทมีเหตุในการปฏิเสธคำขอโดยชอบด้วยกฎหมาย (เช่น สามารถแสดงให้เห็นว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมีเหตุอันชอบด้วยกฎหมายยิ่งกว่า หรือเพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะของบริษัท)


    (4) สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทลบ หรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่สามารถระบุตัวบุคคลของท่านได้ต่อไป ทั้งนี้ การใช้สิทธิลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด


    (5) สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีดังต่อไปนี้
    (ก) เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่บริษัททำการตรวจสอบตามคำร้องขอของท่านที่ให้บริษัทแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง สมบูรณ์และเป็นปัจจุบัน
    (ข) ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
    (ค) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่านหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้แจ้งในการเก็บรวบรวม แต่ท่านยังประสงค์ให้บริษัทเก็บรักษาข้อมูลนั้นต่อไปเพื่อประกอบการใช้สิทธิตามกฎหมาย
    (ง) เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังพิสูจน์ถึงเหตุอันชอบด้วยกฎหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือตรวจสอบความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อประโยชน์สาธารณะ อันเนื่องมาจากการที่ท่านได้ใช้สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

    (6) สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง
    กรณีที่ท่านพบว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วนหรือไม่เป็นปัจจุบัน ท่านมีสิทธิขอให้แก้ไขเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้


    (7) สิทธิที่จะเพิกถอนความยินยอมที่ให้บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    ในกรณีที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัทในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (ไม่ว่าความยินยอมนั้นจะได้ให้ไว้ก่อนหรือหลังพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ) ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรักษาโดยบริษัท เว้นแต่ มีข้อจำกัดสิทธิโดยกฎหมายให้บริษัทจำเป็นต้องเก็บรักษาข้อมูลต่อไปหรือยังคงมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ (เช่น สัญญาตัวแทนประกันชีวิต สัญญาทางธุรกิจอื่น)


    (8) สิทธิในการยื่นข้อร้องเรียน
    ในกรณีที่ท่านพบว่าบริษัทมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิร้องเรียนไปยังคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือตามกฎหมาย ทั้งนี้ ก่อนการร้องเรียนดังกล่าว บริษัทขอให้ท่านโปรดติดต่อมายังบริษัท เพื่อให้บริษัทมีโอกาสได้รับทราบข้อเท็จจริงและได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆ รวมถึงจัดการแก้ไขข้อกังวลของท่านก่อนในโอกาสแรก


    ทั้งนี้ หากท่านประสงค์ที่จะขอใช้สิทธิของท่าน ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 11 (ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท)

    8.2 บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นก่อให้เกิดภาระแก่บริษัทเกินสมควร หรือเสี่ยงต่อการละเมิดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ ทั้งนี้ บริษัทอาจมีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องขอใช้สิทธิข้างต้น เท่าที่กฎหมายและกฎระเบียบที่ใช้บังคับอนุญาต

    9. ความมั่นคงปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

    บริษัทได้จัดให้มีระบบการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลและมาตรการรักษาความปลอดภัยเชิงเทคนิคและเชิงบริหารจัดการที่เหมาะสม เพื่อทำให้มั่นใจว่าระดับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดภายใต้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

     

    10. การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์และบริการของบุคคลภายนอก

    บนเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทอาจมีลิงค์เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ และบริการของบุคคลภายนอก ในกรณีที่ท่านกดลิงก์เชื่อมโยงที่ปรากฏบนบนเว็บไซต์ของบริษัทไปยังบุคคลภายนอก บุคคลภายนอกเหล่านั้นอาจเก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับการใช้บริการของท่าน ดังนั้น ท่านควรใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ และบริการของบุคคลภายนอกเหล่านั้นด้วย ทั้งนี้ บริษัทไม่สามารถรับผิดชอบในความปลอดภัยหรือความเป็นส่วนตัวของข้อมูลใดๆ ของท่านที่ถูกเก็บรวบรวมโดยเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของบุคคลภายนอกดังกล่าว และนโยบายฉบับนี้ใช้เฉพาะสำหรับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดโดยบริษัทเท่านั้น

     

    11. ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท

    11.1 การใช้สิทธิตามกฎหมาย
    หากท่านต้องการใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่านสามารถใช้สิทธิผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
    (1) สำนักงานใหญ่
    (2) สำนักงานสาขาของบริษัททุกแห่ง
    ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดรับการใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป

    11.2 การติดต่อสอบถามข้อมูล
    เรื่องที่ต้องการติดต่อ ช่องทางติดต่อ
    สอบถามข้อมูลทั่วไป ติดต่อได้ที่หมายเลข 1124
    สอบถามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    ไปรษณีย์: บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
    สำนักคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เลขที่ 123
    ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
    กรุงเทพ 10400

    อีเมล: dpo@thailife.com

    12. การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้

    บริษัทอาจทำการเปลี่ยนแปลงนโยบาย นี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ ด้วยช่องทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำให้ท่านตรวจสอบทบทวนนโยบายนี้เป็นครั้งคราว

     


    นโยบายฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ [วันที่ 1 มิถุนายน 2565]


    ***************************************************************

  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับคู่ค้า

    นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับคู่ค้า


    บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นอย่างมาก บริษัทในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจึงได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (“นโยบาย”) ฉบับนี้ขึ้นเพื่อชี้แจงรายละเอียดและวิธีการจัดการและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากท่านหรือจากแหล่งข้อมูลอื่น รวมถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย และ/หรือ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตลอดจนระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวและสิทธิของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล


    บริษัทยึดมั่นในค่านิยมที่ว่า ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นที่ท่านมีให้แก่บริษัท เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งสำหรับบริษัท ดังนั้นบริษัทจึงมุ่งมั่นที่จะจัดการให้มีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด


    1. นิยาม

    “บริษัท” หมายถึง บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
    "คู่ค้า" หมายถึง

    ผู้ให้บริการ หรือตัวแทนผู้ให้บริการ (รวมไปถึงผู้ให้บริการช่วง) หรือบุคลากรของ ผู้ให้บริการ ซึ่งให้บริการเกี่ยวกับการจัดการต่างๆ การให้บริการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล บริการเกี่ยวกับกระบวนการทางธุรกิจของบริษัทเกี่ยวกับการชำระเงิน บริการโทรคมนาคม บริการด้านเทคโนโลยี บริการรับส่งพัสดุเอกสารต่างๆ หรือบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท หรือจัดให้มีการบริหารจัดการ การดำเนินการ การปฏิบัติตามขั้นตอน หรือการจัดการต่างๆ

    “กฎหมายว่าด้วยการ
    คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”
    หมายถึง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ในอนาคต
    “ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    “การประมวลผลข้อมูล
    ส่วนบุคคล”
    หมายถึง

    การดำเนินการใดๆ กับข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าด้วยวิธีการอัตโนมัติหรือไม่ก็ตาม เช่น การเก็บรวบรวม การบันทึก การจัดระบบ การจัดเก็บ การปรับเปลี่ยนหรือการดัดแปลง การเรียกคืน การปรึกษา การใช้ การเปิดเผย (โดยการส่ง โอน การเผยแพร่หรือการทำให้สามารถเข้าถึงหรือพร้อมใช้งานโดยวิธีใด ๆ) การจัดเรียง การนำมารวมกัน การห้ามเข้าถึงหรือจำกัด การลบหรือการทำลาย เป็นต้น


    2. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม

    2.1 ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทเก็บรวบรวมหรือจะเก็บรวบรวม ภายใต้นโยบายนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากแหล่งอื่น ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลดังต่อไปนี้
    (1) ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อนามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ เพศ รูปถ่าย หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง (Passport) ลายมือชื่อ สัญชาติ ศาสนา สถานภาพสมรส และข้อมูลบุคคลในครอบครัว เป็นต้น
    (2) ข้อมูลการติดต่อ เช่น อยู่ตามทะเบียนบ้าน ที่อยู่เพื่อจัดส่งไปรษณีย์ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ข้อมูลการติดต่อทางโซเชียล มีเดีย เป็นต้น
    (3) ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม เช่น ประวัติการศึกษาและการฝึกอบรม หนังสือรับรองคุณวุฒิหรือใบแสดงผลการศึกษา ผลคะแนนหรือระดับคะแนน ระดับการศึกษา หนังสือรับรองและหนังสืออ้างอิงจากสถาบันการศึกษา ความสามารถทางภาษา ข้อมูลการอบรมและข้อมูลการทดสอบซึ่งจัดโดยบริษัทหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง วุฒิบัตรหรือประกาศนียบัตร เป็นต้น
    (4) รายละเอียดการทำงานพื้นฐาน เช่น รายละเอียดสถานที่ทำงานของท่าน รายละเอียดหน่วยงานต้นสังกัด ตำแหน่ง สายการบังคับบัญชา เป็นต้น
    (5) ประวัติเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การประเมินผลการปฏิบัติงาน รางวัลที่เคยได้รับ ประวัติการถูกร้องเรียน บันทึกการสอบสวน รวมถึงการตรวจสอบและการประเมินความเสี่ยง เป็นต้น
    (6) ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ เช่น ประวัติอาชญากรรม บันทึกเกี่ยวกับการดำเนินคดีไม่ว่าทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครอง หรือการดำเนินคดีอื่นๆ รวมไปถึงรายงานของตำรวจ และคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
    (7) ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล เช่น ข้อมูลของท่านที่ปรากฏในหนังสือรับรองบริษัท บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือเอกสารเกี่ยวกับนิติบุคคลอื่นใดที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้อมูลอื่นใดที่บริษัทร้องขอจากนิติบุคคลของท่าน หรือจากท่านเพื่อใช้ในการประกอบการเข้าทำสัญญา การบริการ หรือการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้อง ตามที่บริษัทได้แจ้งหรือร้องขอไปยังท่าน
    (8) ข้อมูลอื่นๆ เช่น บันทึกภาพและเสียงผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ บันทึกเสียงการสนทนา เป็นต้น


    2.2 บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive Personal Data) ของท่าน เช่น ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา เพื่อประกอบการตรวจสอบในการเข้าทำสัญญากับท่าน หรือนิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน หรือเพื่อตรวจสอบเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย เป็นต้น


    2.3 ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมที่บริษัทได้แจ้งไว้แก่ท่านหรือตามที่ตกลงกันในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2565 ท่านมีสิทธิเพิกถอน ความยินยอม (โปรดดูรายละเอียดในข้อ 7) หากท่านประสงค์ที่จะขอใช้สิทธิของท่าน ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 9 (ช่องทางการใช้สิทธิตาม กฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท) ทั้งนี้ การเปิดเผยและการดำเนินการอื่นเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในนโยบายนี้


    3. วิธีที่บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

    3.1
    โดยทั่วไปบริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยตรงจากท่าน เว้นแต่บางกรณีที่บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งอื่น เช่น บุคคลอื่นที่แนะนำท่านให้บริษัท จากแหล่งข้อมูลสาธารณะ แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของท่าน หรือ แหล่งข้อมูลทางการค้า

    3.2
    ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆ ตามที่ระบุในนโยบาย ฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ ฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้วัตถุประสงค์อันชอบด้วยกฎหมาย หรือหากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน โดยจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเมื่อท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท

    3.3
    ท่านอาจเลือกที่จะไม่ให้บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลบางประการที่บริษัทร้องขอ อย่างไรก็ดี การที่ท่านเลือกที่จะไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลบางประการดังกล่าว อาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการทำธุรกรรมระหว่างบริษัทกับท่าน หรือต่อการให้บริการของบริษัทต่อท่าน หรือต่อการตอบสนองต่อข้อร้องขออื่น ๆ ของท่านได้ เช่น บริษัทอาจไม่สามารถดำเนินการเพื่อเข้าทำสัญญากับท่านได้ หรือ บริษัทอาจไม่สามารถให้บริการต่างๆ เกี่ยวกับสัญญาที่บริษัททำกับท่านได้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

    3.4
    ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หากบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อมูลใดที่ไม่มีความจำเป็นในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย บริษัทอาจดำเนินการลบ ทำลาย หรือดำเนินการด้วยวิธีการใดๆ เช่น การใช้ปากการะบายปิดทับลงบนข้อมูลศาสนาในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อมิให้ปรากฏข้อมูลดังกล่าวในการจัดเก็บ หรือทำให้ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ เป็นต้น


    4.
    วัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    4.1 บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ (รวมเรียกว่า “วัตถุประสงค์ที่กำหนด”) และภายใต้ฐานทางกฎหมายดังนี้
    วัตถุประสงค์ ฐานตามกฎหมาย ประเภทข้อมูล
    (1) เพื่อการเข้าทำสัญญากับท่าน นิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน หรือเพื่อการปฏิบัติตามสิทธิหน้าที่ที่มีตามสัญญาที่บริษัทเข้าทำกับท่าน นิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญานั้น
    - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากบริษัท
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - รายละเอียดการทำงานพื้นฐาน
    - ประวัติเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงาน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล
    (2) เพื่อการตรวจสอบและยืนยันตัวตนของท่าน และ/หรือนิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน และตรวจสอบประวัติก่อนและระหว่างเข้าทำสัญญากับท่าน หรือนิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน และอาจมีการตรวจสอบรายละเอียดดังกล่าวในระหว่างระยะเวลาตามสัญญาที่บริษัทเข้าทำกับท่าน หรือนิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน - เป็นความจำเป็นของบริษัทในการปฏิบัติตามกฎหมาย - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีความ
    (3) เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงประกาศ ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กฎหมายว่าด้วยภาษีอากร กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - เป็นความจำเป็นของบริษัทในการปฏิบัติตามกฎหมาย - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีความ
    (4) เพื่อการจัดซื้อจัดจ้าง และซื้อสินค้าหรือบริการจากท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านเป็นตัวแทน รวมถึงการบริหารจัดการการยื่นซองข้อเสนองาน การยื่นหลักประกันซองข้อเสนองาน การตรวจสอบข้อมูลและคุณสมบัติ และดำเนินการตามนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างของบริษัท และกระบวนการอื่นใดในลักษณะคล้ายคลึงกัน - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญานั้น - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - รายละเอียดการทำงานพื้นฐาน
    - ประวัติเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงาน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล
    (5) เพื่อจัดทำและบริหารจัดการคำสั่งซื้อ ข้อตกลง หรือสัญญาระหว่างบริษัทกับท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านเป็นตัวแทน ซึ่งรวมถึงการชำระเงินค่าสินค้า ค่าบริการ และค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้กับท่าน ตามคำสั่งซื้อ ข้อตกลง หรือสัญญาระหว่างบริษัทกับท่าน ด้วยวิธีการใดๆ - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากบริษัท - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    (6) เพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัย การจัดการและการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และความปลอดภัยพนักงานและบุคคลภายนอก รวมทั้ง ทรัพย์สินและข้อมูลต่าง ๆ - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย
    - เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลด้านเทคนิค
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (7) เพื่อการก่อตั้ง ใช้ โต้แย้ง หรือดำเนินการตามสิทธิเรียกร้องของบริษัท - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากบริษัท - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - รายละเอียดการทำงานพื้นฐาน
    - ประวัติเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงาน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล
    (8) เพื่อการติดต่อ และการดำเนินธุรกิจของบริษัทตลอดระยะเวลาที่บริษัทยังมีความสัมพันธ์กับท่าน หรือนิติบุคคลที่ท่านดำเนินการแทน - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากบริษัท - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - รายละเอียดการทำงานพื้นฐาน
    - ประวัติเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงาน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล
    ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่กำหนด และฐานทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โปรดติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 9. (ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท)

    4.2
    เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทจะดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น ในส่วนที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ตามสัญญาหรือข้อตกลงต่างๆ เช่น สัญญาบริการ สัญญาทางธุรกิจ หรือตามคำร้องหรือคำขอที่ท่านได้ยื่นไว้แก่บริษัท หรือมีความจำเป็นเพื่อเข้าทำสัญญากับท่าน เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแก่บริษัท หรือไม่ให้ความยินยอมในการประมวลผล หรือเพิกถอนหรือคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัทต้องได้รับความยินยอมจากท่าน อาจมีผลกระทบทางกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถเข้าทำสัญญาอื่นใดกับท่านได้ หรืออาจจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ภายใต้สัญญาอื่นใดที่ได้เข้าทำกับท่าน หรือบริษัทอาจไม่สามารถให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องได้ หรือดำเนินการตามคำร้องหรือคำขอของท่านได้ (แล้วแต่กรณี) ในกรณีดังกล่าว บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องปฏิเสธการเข้าทำสัญญากับท่าน หรือยกเลิกสัญญาหรือการให้บริการที่เกี่ยวข้องต่อท่าน หรือไม่สามารถดำเนินการตามคำร้องหรือคำขอของท่าน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

    4.3
    ในกรณีที่บริษัทจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่กำหนดซึ่งระบุไว้ข้างต้น บริษัทจะจัดให้มีนโยบายหรือประกาศเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติม เพื่ออธิบายการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะดังกล่าว ท่านควรอ่านนโยบายหรือประกาศเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องร่วมกับนโยบายฉบับนี้


    5. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    5.1 บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดและตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ให้แก่หน่วยงานและบุคคลดังต่อไปนี้


    (1) พนักงาน ลูกจ้าง หรือบุคลากรภายในเท่าที่เกี่ยวข้อง และตามจำเป็นเพื่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

    (2) ผู้ให้คำปรึกษาของบริษัท ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ อาทิเช่น ทนายความ แพทย์ ผู้ตรวจสอบบัญชี หรือที่ปรึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญ ภายในหรือภายนอกของบริษัท

    (3) หน่วยงานและเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย คณะกรรมการต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย หน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานที่มีหน้าที่ระงับข้อพิพาท ซึ่งไม่จำกัดเพียงสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กรมการปกครอง กรมสรรพากร กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด ศาล หรือบุคคลอื่นใดที่บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลให้ตามหน้าที่ที่กฎหมายและ/หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนด

    (4) คู่ค้าของบริษัทไม่ว่ารายใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท หรือการจัดให้มีการบริหารจัดการ การดำเนินการ การปฏิบัติตามขั้นตอน หรือการจัดการต่างๆ ให้แก่ท่าน
    (หมายเหตุ: ท่านสามารถศึกษารายละเอียดนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้ที่เว็บไซต์ www.oic.or.th)

    (5) ผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยอื่นๆ

    (6) ผู้เข้าทำธุรกรรม หรือจะเข้าทำธุรกรรมกับบริษัทโดยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจเป็นส่วนหนึ่งของการซื้อหรือขาย หรือเป็นส่วนหนึ่งของการเสนอซื้อหรือเสนอขายของกิจการของบริษัท (หากมี)

    (7) บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    (8) บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่ท่านให้ความยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อบุคคลหรือหน่วยงานนั้น ๆ
    5.2 การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลอื่น บริษัทจะดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น หรือวัตถุประสงค์อื่นที่กฎหมายกำหนดให้กระทำได้เท่านั้น ในกรณีที่กฎหมายกำหนดว่าต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมจากท่านก่อน

    5.3 ในกรณีที่บริษัทเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลอื่น บริษัทจะจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้เปิดเผยและเพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานและหน้าที่การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

    5.4 ในกรณีที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปต่างประเทศ บริษัทจะดำเนินการเพื่อทำให้แน่ใจว่าประเทศปลายทาง องค์กรระหว่างประเทศ หรือผู้รับข้อมูลในต่างประเทศนั้นมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ ในบางกรณี บริษัทอาจขอความยินยอมของท่านสำหรับการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด


    6. ระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

    6.1 บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ โดยระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลจะเปลี่ยนแปลงไปโดยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ นอกจากนี้ บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด (ถ้ามี) โดยคำนึงถึงอายุความตามกฎหมายสำหรับการดำเนินคดีที่อาจเกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับเอกสารหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมไว้ในแต่ละรายการ และโดยคำนึงถึงแนวปฏิบัติทางธุรกิจสำหรับแต่ละประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสำคัญ

    6.2 บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาตามความจำเป็นและเหมาะสมในการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลภายใต้วัตถุประสงค์ที่ระบุไว้หรือสูงสุดไม่เกิน [11] ปี นับแต่วันที่สิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับบริษัท อย่างไรก็ดี บริษัทอาจเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาเกินกว่าที่กำหนดหากกฎหมายอนุญาต

    6.3 ในกรณีที่บริษัทไม่มีความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอีกต่อไป หรือภายหลังจากพ้นระยะเวลาดังกล่าวข้างต้น บริษัทจะทำลายหรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวท่านได้ โดยอาจไม่มีการแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า


    7. สิทธิต่างๆ ของท่านเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

    7.1 ในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านดังต่อไปนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    (1) สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอเข้าถึง รับสำเนาและขอให้เปิดเผยที่มาของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมและประมวลผล เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านด้วยเหตุตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล หรือกรณีที่การใช้สิทธิของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น
    (2) สิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทรับ ส่ง หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านระหว่างบริษัทกับผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลอื่น ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติและสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้โดยวิธีการอัตโนมัติ ทั้งนี้ การใช้สิทธินี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด และในภาคธุรกิจประกันภัยมีระบบที่สามารถรองรับการใช้สิทธิในเรื่องนี้ได้
    (3) สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน เว้นแต่ กรณีที่บริษัทมีเหตุในการปฏิเสธคำขอโดยชอบด้วยกฎหมาย (เช่น สามารถแสดงให้เห็นว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมีเหตุอันชอบด้วยกฎหมายยิ่งกว่า หรือเพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะของบริษัท)
    (4) สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทลบ หรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่สามารถระบุตัวบุคคลของท่านได้ต่อไป ทั้งนี้ การใช้สิทธิลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด
    (5) สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีดังต่อไปนี้
    (ก) เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่บริษัททำการตรวจสอบตามคำร้องขอของท่านที่ให้บริษัทแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้บูรณ์และเป็นปัจจุบัน
    (ข) ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
    (ค) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่านหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้แจ้งในการเก็บรวบรวม แต่ท่านยังประสงค์ให้บริษัทเก็บรักษาข้อมูลนั้นต่อไปเพื่อประกอบการใช้สิทธิตามกฎหมาย
    (ง) เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังพิสูจน์ถึงเหตุอันชอบด้วยกฎหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือตรวจสอบความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อประโยชน์สาธารณะ อันเนื่องมาจากการที่ท่านได้ใช้สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    (6) สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง
    กรณีที่ท่านพบว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วนหรือไม่เป็นปัจจุบัน ท่านมีสิทธิขอให้แก้ไขเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้
    (7) สิทธิที่จะเพิกถอนความยินยอมที่ให้บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    ในกรณีที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัทในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (ไม่ว่าความยินยอมนั้นจะได้ให้ไว้ก่อนหรือหลังพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ) ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรักษาโดยบริษัท เว้นแต่ มีข้อจำกัดสิทธิโดยกฎหมายให้บริษัทจำเป็นต้องเก็บรักษาข้อมูลต่อไปหรือยังคงมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ (เช่น สัญญาบริการ สัญญาทางธุรกิจอื่น)
    (8) สิทธิในการยื่นข้อร้องเรียน
    ในกรณีที่ท่านพบว่าบริษัทมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิร้องเรียนไปยังคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือตามกฎหมาย ทั้งนี้ ก่อนการร้องเรียนดังกล่าว บริษัทขอให้ท่านโปรดติดต่อมายังบริษัท เพื่อให้บริษัทมีโอกาสได้รับทราบข้อเท็จจริงและได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆ รวมถึงจัดการแก้ไขข้อกังวลของท่านก่อนในโอกาสแรก

    ทั้งนี้ หากท่านประสงค์ที่จะขอใช้สิทธิของท่าน ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 9. (ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท)

    7.2 บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นก่อให้เกิดภาระแก่บริษัทเกินสมควร หรือเสี่ยงต่อการละเมิดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ ทั้งนี้ บริษัทอาจมีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องขอใช้สิทธิข้างต้น เท่าที่กฎหมายและกฎระเบียบที่ใช้บังคับอนุญาต


    8. ความมั่นคงปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

    บริษัทได้จัดให้มีระบบการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลและมาตรการรักษาความปลอดภัยเชิงเทคนิคและเชิงบริหารจัดการที่เหมาะสม เพื่อทำให้มั่นใจว่าระดับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดภายใต้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง


    9. ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท

    9.1 การใช้สิทธิตามกฎหมาย
    หากท่านต้องการใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่านสามารถใช้สิทธิผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
    (1) สำนักงานใหญ่
    (2) สำนักงานสาขาของบริษัททุกแห่ง
    ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดรับการใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป

    9.2 การติดต่อสอบถามข้อมูล
    เรื่องที่ต้องการติดต่อ ช่องทางติดต่อ
    สอบถามข้อมูลทั่วไป ติดต่อได้ที่หมายเลข 1124
    สอบถามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    ไปรษณีย์: บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
    สำนักคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เลขที่ 123
    ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
    กรุงเทพ 10400

    อีเมล: dpo@thailife.com


    10. การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้

    บริษัทอาจทำการเปลี่ยนแปลงนโยบาย นี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ ด้วยช่องทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำให้ท่านตรวจสอบทบทวนนโยบายนี้เป็นครั้งคราว



    นโยบายฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ [วันที่ 1 มิถุนายน 2565]


    ***************************************************************

  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับบุคลากรของบริษัท

    นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับบุคลากรของบริษัท


    บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นอย่างมาก บริษัทในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจึงได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (“นโยบาย”) ฉบับนี้ขึ้นเพื่อชี้แจงรายละเอียดและวิธีการจัดการและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากท่านหรือจากแหล่งข้อมูลอื่น รวมถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย และ/หรือ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตลอดจนระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวและสิทธิของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล


    บริษัทยึดมั่นในค่านิยมที่ว่า ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นที่ท่านมีให้แก่บริษัท เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งสำหรับบริษัท ดังนั้นบริษัทจึงมุ่งมั่นที่จะจัดการให้มีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด


    1. นิยาม

    “บริษัท” หมายถึง บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
    "บุคลากร" หมายถึง กรรมการ ลูกจ้าง พนักงานของบริษัท ซึ่งรวมทั้งบุคลากรที่พ้นสภาพจากการเป็นกรรมการ ลูกจ้าง พนักงานของบริษัท และผู้สมัครงาน
    “คู่ค้า” หมายถึง

    ผู้ให้บริการ หรือตัวแทนผู้ให้บริการ (รวมไปถึงผู้ให้บริการช่วง) ของบริษัท ซึ่งให้บริการเกี่ยวกับการจัดการต่างๆ การให้บริการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล บริการเกี่ยวกับกระบวนการทางธุรกิจ บริษัทเกี่ยวกับการชำระเงิน บริการโทรคมนาคม บริการด้านเทคโนโลยี บริการรับส่งพัสดุเอกสารต่างๆ หรือบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท หรือจัดให้มีการบริหารจัดการ การดำเนินการ การปฏิบัติตามขั้นตอน หรือการจัดการต่างๆ

    “บุคคลากรที่พ้นสภาพ” หมายถึง บุคลากรที่พ้นสภาพหรือสิ้นสภาพจากการเป็นบุคลากรของบริษัทไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม
    ผู้สมัครงาน หมายถึง บุคคลที่มีความประสงค์ที่จะสมัครเข้าทำงานกับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการสมัครกับบริษัทโดยตรง หรือสมัครผ่านผู้ให้บริการรับสมัครงานหรือจัดหารงานทั่วไป หรือผ่านการแนะนำจากบุคคลอื่นโดยความยินยอมของผู้สมัครงาน
    “กฎหมายว่าด้วยการ
    คุ้มครองข้อมูลส่วน บุคคล”
    หมายถึง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ ในอนาคต
    “ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    "การประมวลผลข้อมูล
    ส่วนบุคคล”
    หมายถึง

    การดำเนินการใดๆ กับข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าด้วยวิธีการอัตโนมัติหรือไม่ก็ตาม เช่น การเก็บรวบรวม การบันทึก การจัดระบบ การจัดเก็บ การปรับเปลี่ยนหรือการดัดแปลง การเรียกคืน การวิเคราะห์ การใช้ การเปิดเผย (โดยการส่ง โอน การเผยแพร่หรือการทำให้สามารถเข้าถึงหรือพร้อมใช้งานโดยวิธีใด ๆ) การจัดเรียง การนำมารวมกัน การห้ามเข้าถึงหรือจำกัด การลบหรือการทำลาย เป็นต้น


    2. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม

    2.1 ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทเก็บรวบรวมหรือจะเก็บรวบรวม ภายใต้นโยบาย นี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากแหล่งอื่น ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลดังต่อไปนี้

    (1) ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อนามสกุล ชื่อเล่น วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง กรุ๊ปเลือด โรคประจำตัว ความพิการ รูปถ่าย หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง (Passport) ลายมือชื่อ สัญชาติ ศาสนา สถานภาพสมรส และข้อมูลบุคคลในครอบครัว สถานที่เกิด เลขที่ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และ/หรือรถจักรยานยนต์ วันหมดอายุใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และ/หรือรถจักรยานยนต์ ประวัติการรับราชการทหาร ข้อมูลสุขภาพ ประวัติการรักษาพยาบาลรวมไปถึงคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ เป็นต้น

    (2) ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ที่อยู่เพื่อจัดส่งไปรษณีย์ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ข้อมูลการติดต่อทางโซเชียลมีเดีย ข้อมูลบุคคลที่ติดต่อในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น

    (3) ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม เช่น ประวัติการศึกษาและการฝึกอบรม หนังสือรับรองคุณวุฒิหรือใบแสดงผลการศึกษา ผลคะแนนหรือระดับคะแนน ระดับการศึกษา หนังสือรับรองและหนังสืออ้างอิงจากสถาบันการศึกษา ความสามารถทางภาษา ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ ข้อมูลการอบรมและข้อมูลการทดสอบซึ่งจัดโดยบริษัทหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง วุฒิบัตรหรือประกาศนียบัตร เป็นต้น

    (4) ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครงาน เช่น ประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงาน ข้อมูลการสัมภาษณ์งาน และหลักฐานหรือหนังสืออ้างอิงต่าง ๆ เป็นต้น

    (5) ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและตำแหน่ง เช่น รายละเอียดสถานที่ทำงานของท่าน รายละเอียดหน่วยงานต้นสังกัด รหัสพนักงาน ตำแหน่ง หมายเลขติดต่อภายใน สังกัด สายการบังคับบัญชา เป็นต้น

    (6) ข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินผลและประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การประเมินผลการปฏิบัติงาน ความคิดเห็น ทัศนคติและพฤติกรรมในการทำงาน ผลงานและ/หรือรางวัลที่เคยได้รับ ประวัติการถูกร้องเรียน บันทึกการสอบสวน และโทษทางวินัย รวมถึงการตรวจสอบและการประเมินความเสี่ยง เป็นต้น

    (7) ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าตอบแทน เช่น เงินเดือน ค่าตอบแทน โบนัส รายละเอียดเกี่ยวกับค่าบำเหน็จ สวัสดิการ ข้อมูลสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพ (รวมถึงสำหรับสมาชิกในครอบครัว) และ/หรือผลประโยชน์อื่นๆ ที่ท่านได้รับ เลขบัญชีธนาคาร กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ข้อมูลทางภาษี ข้อมูลการหักลดหย่อนภาษี ข้อมูลของบุคคลภายนอกผู้ได้รับผลประโยชน์ เป็นต้น

    (8) ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติทางทะเบียน เช่น วันและเวลาที่เข้าทำงาน วันลา วันหยุดพักผ่อนประจำปี จำนวนชั่วโมงที่ทำงาน จำนวนชั่วโมงที่ทำงานล่วงเวลา รายละเอียดการลารวมถึงสาเหตุการลา การบันทึกการใช้ระบบภายในต่าง ๆ เป็นต้น

    (9) ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ เช่น ประวัติอาชญากรรม บันทึกเกี่ยวกับการดำเนินคดีไม่ว่าทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครอง หรือการดำเนินคดีอื่นๆ รวมไปถึงรายงานของตำรวจ และคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

    (10) ข้อมูลอื่นๆ เช่น บันทึกภาพและเสียงผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ บันทึกเสียงการสนทนา ข้อมูลการเข้าถึงและการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของบริษัท เป็นต้น


    2.2 ในบางกรณี บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive Personal Data) ของท่าน เช่น ประวัติอาชญากรรม เพื่อประกอบการตรวจสอบในการเข้าทำสัญญาว่าจ้างกับท่าน ข้อมูลสุขภาพเพื่อประเมินความสามารถในการทำงาน เพื่อการจัดสวัสดิการของท่าน หรือข้อมูลชีวภาพเพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนของท่าน เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทจะประมวลผลข้อมูลที่มีความอ่อนไหวเมื่อได้รับความยินยอมจากท่านก่อน หรือตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด


    2.3 ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมที่บริษัทได้แจ้งไว้แก่ท่านในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2565 ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอม (โปรดดูรายละเอียดในข้อ 8) หากท่านประสงค์ที่จะขอใช้สิทธิของท่าน ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 10 (ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท) ทั้งนี้ การเปิดเผยและการดำเนินการอื่นเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน จะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในนโยบายนี้


    3. วิธีที่บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

    3.1 บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้

    (1)
    ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง: ท่านอาจให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัทโดยตรง กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อท่านยื่นใบสมัครงานและเอกสารประกอบการสมัครงาน ติดต่อกับบริษัทเพื่อสอบถาม กรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ โดยทางออนไลน์หรือโดยทางเอกสาร เข้าสัมภาษณ์งาน เข้าทำสัญญาจ้าง และยื่นเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับท่านให้แก่บริษัท เป็นต้น

    (2) ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากแหล่งอื่น:บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาจากแหล่งอื่นเป็นครั้งคราว เช่น ผู้ให้บริการรับสมัครงานหรือจัดหางาน หรือเป็นกรณีที่ท่านได้ให้ข้อมูลของบุคคลภายนอกแก่บริษัทซึ่งท่านจะต้องรับรองและรับประกันว่าบุคคลภายนอกดังกล่าวได้ให้ความยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลแก่บริษัท ตลอดจนได้รับแจ้งให้ทราบถึงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทแล้ว เช่น บุคคลอ้างอิงของท่าน บุคคลที่สามารถติดต่อในกรณีฉุกเฉิน บริษัทนายหน้าจัดหางาน หน่วยงานของรัฐ สถานศึกษา ธนาคาร แหล่งข้อมูลสาธารณะ โซเชียลมีเดีย และแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของท่าน เป็นต้น

    3.2
    ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆ ตามที่ระบุในนโยบาย ฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ ฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้วัตถุประสงค์อันชอบด้วยกฎหมาย หรือหากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน โดยจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเมื่อท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท

    3.3

    ท่านอาจเลือกที่จะไม่ให้บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลบางประการที่บริษัทร้องขอ อย่างไรก็ดี การที่ท่านเลือกที่จะไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลบางประการดังกล่าว อาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการทำธุรกรรมระหว่างบริษัทกับท่าน หรือต่อการให้บริการของบริษัทต่อท่าน หรือต่อการตอบสนองคำร้องขออื่นๆ ของท่านได้ เช่น บริษัทอาจไม่สามารถดำเนินการที่เกี่ยวเนื่องกับการสมัครงาน การคัดเลือกเพื่อรับเข้าทำงาน หรือการเข้าทำสัญญาจ้างกับท่านได้ หรือบริษัทอาจไม่สามารถดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวกับการจ้างงานไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน


    3.4

    ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หากบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อมูลใดที่ไม่มีความจำเป็นในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย บริษัทอาจดำเนินการลบ ทำลาย หรือดำเนินการด้วยวิธีการใดๆ เช่น การใช้ปากการะบายปิดทับลงบนข้อมูลศาสนาในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อมิให้ปรากฏข้อมูลดังกล่าวในการจัดเก็บ หรือทำให้ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ เป็นต้น



    4.
    วัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    4.1 บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ (รวมเรียกว่า “วัตถุประสงค์ที่กำหนด”) และภายใต้ฐานทางกฎหมายดังนี้
    วัตถุประสงค์ ฐานตามกฎหมาย ประเภทข้อมูล
    (1) เพื่อการพิจารณาคุณสมบัติ การคัดเลือกเพื่อบรรจุแต่งตั้งหรือว่าจ้างเป็นพนักงาน บุคลากร หรือกรรมการ (แล้วแต่กรณี) ตลอดจนการปรับปรุงพัฒนาระบบการคัดเลือกผู้สมัคร หรือการพิจารณาอัตรากำลังคนของบริษัท - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญานั้น
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการสมัครงาน
    (2) เพื่อการเข้าทำสัญญาแต่งตั้ง สัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างทำของ หรือสัญญาอื่นใดกับท่าน และ/หรือเพื่อการปฏิบัติตามสิทธิหน้าที่ที่มีตามสัญญาที่บริษัทเข้าทำกับท่าน - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญานั้น
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและตำแหน่ง
    (3) เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลของบริษัท การจัดการโครงสร้างบุคลากร การแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่การปฏิบัติงาน การบริหารจัดการเกี่ยวกับเงินเดือน ค่าตอบแทนหรือสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่ท่าน การจัดสวัสดิการต่างๆ การฝึกอบรม การประเมินผลการปฏิบัติงาน การดำเนินการตามคำร้องขอหรือการใช้สิทธิต่างๆ ของท่านซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญาจ้าง หรือการปฏิบัติงานในองค์กร - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญานั้น
    - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากบริษัท
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและตำแหน่ง
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินผลและประสิทธิภาพการทำงาน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าตอบแทน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติทางทะเบียน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (4) เพื่อเก็บรักษาประวัติการเจ็บป่วยและการขาดงาน และตรวจสอบและจัดการกับการไม่ปฏิบัติตามนโยบายของบริษัท ระเบียบวินัย การร้องเรียนและการเลิกจ้าง - เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญานั้น
    - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากบริษัท
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและตำแหน่ง
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินผลและประสิทธิภาพการทำงาน
    (5) เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึง ประกาศ ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม กฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายว่าด้วยภาษีอากร กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กฎหมายว่าด้วยภาษีอากร กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - เป็นความจำเป็นของบริษัทในการปฏิบัติตามกฎหมาย
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและตำแหน่ง
    - ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (6) เพื่อการก่อตั้ง ใช้ โต้แย้ง หรือ ดำเนินการตามสิทธิเรียกร้องของบริษัท - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากบริษัท - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและตำแหน่ง
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินผลและประสิทธิภาพการทำงาน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าตอบแทน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติทางทะเบียน
    - ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการถูกดำเนินคดีความ
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (7) เพื่อการติดต่อสื่อสารและบริหารจัดการความสัมพันธ์ของท่านกับบริษัท และเพื่อการบริหารจัดการอื่นอันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน ซึ่งรวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ส่งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ - ความยินยอม
    - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากบริษัท
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและตำแหน่ง
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (8) เพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัย การจัดการและการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และความปลอดภัยพนักงานและบุคคลภายนอก รวมทั้ง ทรัพย์สินและข้อมูลต่าง ๆ - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย
    - เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
    - ความยินยอม
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลด้านเทคนิค
    - ข้อมูลอื่นๆ
    (9) เพื่อดำเนินการใดๆ ตามคำร้องขอของบุคลากรที่พ้นสภาพ เช่น การออกหนังสือรับรองประวัติการทำงาน - เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย
    - เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
    - ข้อมูลส่วนตัว
    - ข้อมูลการติดต่อ
    - ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและตำแหน่ง
    - ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าตอบแทน

    ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่กำหนด และฐานทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โปรดติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 10 (ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท)

    4.2 เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทจะดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น ในส่วนที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ตามสัญญาหรือข้อตกลงต่างๆ เช่น สัญญาจ้าง หรือตามคำร้องหรือคำขอที่ท่านได้ยื่นไว้แก่บริษัท หรือมีความจำเป็นเพื่อเข้าทำสัญญากับท่าน เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแก่บริษัท หรือไม่ให้ความยินยอมในการประมวลผล หรือเพิกถอนหรือคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัทต้องได้รับความยินยอมจากท่าน อาจมีผลกระทบทางกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถเข้าทำสัญญาอื่นใดกับท่านได้ หรืออาจจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ภายใต้สัญญาอื่นใดที่ได้เข้าทำกับท่าน หรือบริษัทอาจไม่สามารถให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องได้ หรือดำเนินการตามคำร้องหรือคำขอของท่านได้ (แล้วแต่กรณี) ในกรณีดังกล่าว บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องปฏิเสธการเข้าทำสัญญากับท่าน หรือยกเลิกสัญญาหรือการให้บริการที่เกี่ยวข้องต่อท่าน หรือไม่สามารถดำเนินการตามคำร้องหรือคำขอของท่าน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

    4.3 ในกรณีที่บริษัทจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่กำหนดซึ่งระบุไว้ข้างต้น บริษัทจะจัดให้มีนโยบายหรือประกาศเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติม เพื่ออธิบายการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะดังกล่าว ท่านควรอ่านนโยบายหรือประกาศเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องร่วมกับนโยบายฉบับนี้


    5. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    5.1 บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดและตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ให้แก่หน่วยงานและบุคคลดังต่อไปนี้

    (1)  พนักงาน ลูกจ้าง หรือบุคลากรภายในบริษัท เท่าที่เกี่ยวข้องและตามความจำเป็นเพื่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้วัตถุประสงค์ตามนโยบายฉบับนี้

    (2) หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลตามกฎหมาย หรือที่ร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กรมการปกครอง กรมสรรพากร กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด ศาล เป็นต้น
    (หมายเหตุ: ท่านสามารถศึกษารายละเอียดนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้ที่เว็บไซต์ www.oic.or.th)

    (3) องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย เช่น สมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมหรือสมาพันธ์อื่นๆ ในภาคธุรกิจประกันภัย เป็นต้น

    (4) ผู้ให้คำปรึกษาของบริษัท ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ เช่น ทนายความ แพทย์ ผู้ตรวจสอบบัญชี หรือที่ปรึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญ ภายในหรือภายนอกของบริษัท เป็นต้น

    (5) บุคลากรและคู่ค้าของบริษัทไม่ว่ารายใดก็ตาม ผู้ให้บริการ หรือตัวแทนผู้ให้บริการ (รวมไปถึงผู้ให้บริการช่วง) ของบริษัท ซึ่งให้บริการเกี่ยวกับการจัดการต่างๆ การให้บริการประมวลผลข้อมูล บริการเกี่ยวกับกระบวนการทางธุรกิจ บริการเกี่ยวกับการชำระเงิน บริการโทรคมนาคม บริการด้านเทคโนโลยี บริการคลาวด์ บริการจัดหาผู้รับจ้างปฏิบัติงาน บริการคอลเซ็นเตอร์ บริการจัดเก็บของ การดำเนินการเกี่ยวกับเอกสาร บริการเก็บบันทึกข้อมูล บริการสแกนเอกสาร บริการรับส่งไปรษณีย์ บริการจัดพิมพ์ บริการส่งพัสดุหรือบริการรับส่งพัสดุโดยพนักงานรับส่งพัสดุ บริการวิเคราะห์ข้อมูล บริการทำการตลาด บริการทำการวิจัย บริการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉิน บริการทางกฎหมาย หรือบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท หรือการจัดให้มีการบริหารจัดการ การดำเนินการ การปฏิบัติตามขั้นตอน หรือการจัดการต่างๆ ให้แก่ท่าน

    (6) ผู้สนใจ ลูกค้า ผู้ซื้อหรือผู้ใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัท

    (7) บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    (8) บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่ท่านให้ความยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อบุคคลหรือหน่วยงานนั้นๆ

    5.2

    การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลอื่น บริษัทจะดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น หรือวัตถุประสงค์อื่นที่กฎหมายกำหนดให้กระทำได้เท่านั้น ในกรณีที่กฎหมายกำหนดว่าต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมจากท่านก่อน

    5.3 ในกรณีที่บริษัทเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลอื่น บริษัทจะจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้เปิดเผยและเพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานและหน้าที่การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

    5.4

    ในกรณีที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปต่างประเทศ บริษัทจะดำเนินการเพื่อทำให้แน่ใจว่าประเทศปลายทาง องค์กรระหว่างประเทศ หรือผู้รับข้อมูลในต่างประเทศนั้นมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ ในบางกรณี บริษัทอาจขอความยินยอมของท่านสำหรับการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด


    6. ระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

    6.1 บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ โดยระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลจะเปลี่ยนแปลงไปโดยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ นอกจากนี้ บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด (ถ้ามี) โดยคำนึงถึงอายุความตามกฎหมายสำหรับการดำเนินคดีที่อาจเกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับเอกสารหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมไว้ในแต่ละรายการ และโดยคำนึงถึงแนวปฏิบัติทางธุรกิจสำหรับแต่ละประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสำคัญ

    6.2 บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาตามความจำเป็นและเหมาะสมในการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลภายใต้วัตถุประสงค์ที่ระบุไว้หรือสูงสุดไม่เกิน [11] ปี นับแต่วันที่สิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับบริษัท อย่างไรก็ดี บริษัทอาจเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาเกินกว่าที่กำหนดหากกฎหมายอนุญาต หรือเป็นการเก็บรักษาข้อมูลบนฐานการประมวลผลอื่น

    6.3 ในกรณีที่บริษัทไม่มีความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอีกต่อไป หรือภายหลังจากพ้นระยะเวลาดังกล่าวข้างต้น บริษัทจะทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวท่านได้ โดยอาจไม่มีการแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า


    7. ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ

    บริษัทอาจเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ เป็นครั้งคราว ในกรณีดังกล่าวนั้น บริษัทจะปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้ใช้อำนาจปกครอง (ในกรณีของผู้เยาว์) การขอความยินยอมจากผู้อนุบาล (ในกรณีของคนไร้ความสามารถ) และ การขอความยินยอมจากผู้พิทักษ์ (ในกรณีของคนเสมือนไร้ความสามารถ) ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด


    8. สิทธิต่างๆ ของท่านเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

    8.1 ในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านดังต่อไปนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    (1) สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอเข้าถึง รับสำเนาและขอให้เปิดเผยที่มาของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมและประมวลผล เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านด้วยเหตุตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล หรือกรณีที่การใช้สิทธิของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น
    (2) สิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทรับ ส่ง หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านระหว่างบริษัทกับผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลอื่น ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติและสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้โดยวิธีการอัตโนมัติ ทั้งนี้ การใช้สิทธินี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด และในภาคธุรกิจประกันภัยมีระบบที่สามารถรองรับการใช้สิทธิในเรื่องนี้ได้
    (3) สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน เว้นแต่ กรณีที่บริษัทมีเหตุในการปฏิเสธคำขอโดยชอบด้วยกฎหมาย (เช่น สามารถแสดงให้เห็นว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมีเหตุอันชอบด้วยกฎหมายยิ่งกว่า หรือเพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะของบริษัท)
    (4) สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทลบ หรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่สามารถระบุตัวบุคคลของท่านได้ต่อไป ทั้งนี้ การใช้สิทธิลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด
    (5) สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีดังต่อไปนี้
    (ก) เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่บริษัททำการตรวจสอบตามคำร้องขอของท่านที่ให้บริษัทแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง สมบูรณ์และเป็นปัจจุบัน
    (ข) ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
    (ค) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่านหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้แจ้งในการเก็บรวบรวม แต่ท่านยังประสงค์ให้บริษัทเก็บรักษาข้อมูลนั้นต่อไปเพื่อประกอบการใช้สิทธิตามกฎหมาย
    (ง) เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังพิสูจน์ถึงเหตุอันชอบด้วยกฎหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือตรวจสอบความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อประโยชน์สาธารณะ อันเนื่องมาจากการที่ท่านได้ใช้สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    (6) สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง
    กรณีที่ท่านพบว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วนหรือไม่เป็นปัจจุบัน ท่านมีสิทธิขอให้แก้ไขเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้
    (7) สิทธิที่จะเพิกถอนความยินยอมที่ให้บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    ในกรณีที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัทในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (ไม่ว่าความยินยอมนั้นจะได้ให้ไว้ก่อนหรือหลังพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ) ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรักษาโดยบริษัท เว้นแต่ มีข้อจำกัดสิทธิโดยกฎหมายให้บริษัทจำเป็นต้องเก็บรักษาข้อมูลต่อไปหรือยังคงมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ (เช่น สัญญาจ้าง)
    (8) สิทธิในการยื่นข้อร้องเรียน
    ในกรณีที่ท่านพบว่าบริษัทมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิร้องเรียนไปยังคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือตามกฎหมาย ทั้งนี้ ก่อนการร้องเรียนดังกล่าว บริษัทขอให้ท่านโปรดติดต่อมายังบริษัท เพื่อให้บริษัทมีโอกาสได้รับทราบข้อเท็จจริงและได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆ รวมถึงจัดการแก้ไขข้อกังวลของท่านก่อนในโอกาสแรก


    ทั้งนี้ หากท่านประสงค์ที่จะขอใช้สิทธิของท่าน ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 10 (ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท)


    8.2 บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นก่อให้เกิดภาระแก่บริษัทเกินสมควร หรือเสี่ยงต่อการละเมิดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ ทั้งนี้ บริษัทอาจมีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องขอใช้สิทธิข้างต้น เท่าที่กฎหมายและกฎระเบียบที่ใช้บังคับอนุญาต


    9. ความมั่นคงปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

    บริษัทได้จัดให้มีระบบการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลและมาตรการรักษาความปลอดภัยเชิงเทคนิคและเชิงบริหารจัดการที่เหมาะสม เพื่อทำให้มั่นใจว่าระดับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดภายใต้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง


    10. ช่องทางการใช้สิทธิตามกฎหมายและช่องทางติดต่อบริษัท

    10.1 การใช้สิทธิตามกฎหมาย
    หากท่านต้องการใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่านสามารถใช้สิทธิผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
    (1) สำนักงานใหญ่
    (2) สำนักงานสาขาของบริษัททุกแห่ง
    ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดรับการใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป
    10.2 การติดต่อสอบถามข้อมูล
    เรื่องที่ต้องการติดต่อ ช่องทางติดต่อ
    สอบถามข้อมูลทั่วไป ติดต่อได้ที่หมายเลข 1124
    สอบถามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    ไปรษณีย์: บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
    สำนักคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เลขที่ 123
    ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
    กรุงเทพ 10400

    อีเมล: dpo@thailife.com


    11. การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้

    บริษัทอาจทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ ด้วยช่องทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำให้ท่านตรวจสอบทบทวนนโยบายนี้เป็นครั้งคราว


    นโยบายฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ [1 มิถุนายน 2565]


    ***************************************************************

    31/5/2563, 20:30:18